Scroll to Begin
ยีทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่อาจารย์ดอแรนในขณะที่ชายอาวุโสลากสังขารปีนขึ้นมาหาเขา อย่างกับปูทะเลในฤดูผสมพันธุ์ เป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะให้เกียรติ แต่ด้วยอายุของปรมาจารย์ช่างฝีมือแล้ว นี่ถือเป็นคำชม
เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยให้ช่างทำอาวุธผมสีดอกเลาและกุมมือคำนับ ดอแรนซึ่งใบหน้าแดงก่ำตอบโดยไม่ลดความเร็วลงแต่อย่างใด เขาโบกมือเป็นจังหวะเดียวกับการหอบหายใจของเขา
"ข้ามาแล้ว ข้ามาแล้ว! ขอโทษทีที่มาสายไปหน่อย วันนี้ดันตื่นสายซะได้"
ยีเหลือบมองดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน สายไปหน่อยจริงๆ หากนั่นหมายถึงตลอดทั้งเช้าน่ะนะ
"จากกาลเวลา ทุกสิ่งล้วนงอกเงย" ยีท่องและขมวดคิ้ว "น้ำค้างยามเช้าพร่างพรม หมอกยามเย็นโรยตัว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวจึงถือกำเนิด"
ดอแรนหยุดชั่วครู่และยกถุงหนังใส่น้ำที่กำลังจะจ่อปากค้างไว้ "อะไรกัน?"
"วรรคแรกของ 'ประมวลบัญญัติ' ท่านไม่เคยได้ยินหรือขอรับ อาจารย์?" ยีแทบไม่อยากเชื่อ มันเป็นวรรคที่โด่งดังและมักยกมาใช้ตำหนิผู้ที่ไม่รู้จักรักษาเวลา "บทกวีนี้เป็นหนึ่งในผลงานอมตะของปู๋ซี"
ผู้อาวุโสลูบเคราของเขาพร้อมย่นหน้างุนงง "ใครนะ?"
ยีหรี่ตา อาจารย์ปู๋ซีคือสุดยอดกวีเอกในประวัติศาสตร์ของไอโอเนีย พ่อของยีสอนให้เขาทองบทกวี "แสงเรืองรองแห่งอัสดงกลางขุนเขา" ของปู๋ซีตั้งแต่เขายังไม่สามารถจำชื่อของสมาชิกทุกคนในตระกูลญาติเยอะได้ครบด้วยซ้ำไป
"ช่างเถอะ" ยีกระแอม "อาจารย์ของข้าบอกให้ข้าฟังแล้วว่าการฝึกวิชาในวันนี้สำคัญมากเพียงใด ข้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน"
ดอแรนหัวเราะหึๆ "เขาเรียกมันว่าการฝึกวิชางั้นรึ? มิน่าล่ะเจ้าถึงได้มาเร็วนัก"
เขาต้องล้อเล่นแน่ๆ ยีเคยเจอดอแรนมาก่อนแล้ว ที่โรงช่างของพ่อแม่เขา ฟาอีร์กับอิมัยนับถือเขาอย่างมาก แม้ว่าดั้งเดิมนั้นเขาจะไม่ใช่คนในหมู่บ้าน แต่เหล่าช่างและอาจารย์ทั้งหลายของวูจูต่างก็เปิดใจยอมรับเขาด้วยดีและทักษะการใช้ค้อนและทั่งของเขาก็นับว่าเลิศล้ำระดับตำนาน แม้พ่อแม่ของยีกับดอแรนจะมีหลายๆ อย่างคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างกันในเรื่องอาชีพ ช่างทำอาวุธอาวุโสนั้นปล่อยตัวกระเซอะกระเซิง เหม่อลอยและเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นคนพิลึกพิลั่น ในขณะที่พ่อแม่ของยีรู้จักและยกย่องนับถือเหล่ายอดกวีต่างๆ แต่เห็นชัดเลยว่าดอแรนไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยีนึกสงสัยว่าช่างทำอาวุธนิสัยประหลาดคนนี้จะมีอะไรมาสอนเขาในเรื่องศาสตร์วูจูอันสูงส่ง
ยีฝืนยิ้มแกนๆ "เราจะเริ่มเมื่อไรดีขอรับ อาจารย์?"
"สำหรับตาเฒ่าคนนี้น่ะ เรามีเวลากันเหลือเฟือไม่จำกัด แต่สำหรับเจ้า…"
ดอแรนเก็บถุงหนังใส่น้ำของเขาและหันหลังเหลือบมองเส้นทางที่เขาเพิ่งเดินทางผ่านมา มันเป็นถนนแคบๆ อันคดเคี้ยวที่คนเลี้ยงสัตว์มักใช้และทอดยาวไปสู่หมู่บ้านวูจู เมื่อเขาหันกลับมา ยีสังเกตเห็นสัมภาระที่ดอแรนสะพายบ่าไว้ มีตะกร้าไม้ไผ่สานใบหนึ่งซึ่งคลุมไว้ด้วยหนังทาคินผืนหนา เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ใช้สำหรับการเดินทางไกล
"เจ้านี่ยังไงนะ เพิ่งฝึกวิชาดาบมาได้เพียงหกวันแล้วก็เจอเรื่องติดขัดเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งแรกรึยังไงกัน ทำไมถึงใจร้อนนักล่ะ?" ดอแรนพูด
ยีหน้าตึง มันไม่ใช่แค่เรื่องติดขัดเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นปัญหาที่อาจทำให้เขาขาดคุณสมบัติที่จะฝึกวิชาวูจูต่อ เขากำปลอกดาบแน่นและคลายมือออกเพื่อพยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง นี่เป็นเคล็ดลับที่เพื่อนร่วมสำนักของเขาสอนให้และเห็นชัดว่าไม่ได้ผลสักเท่าไรในตอนนี้
"อาจารย์" เขาพูดเสียงนุ่ม "ข้าเรียนวิชาดาบวูจูมาหนึ่งปีแล้ว"
"เอ้อ! จริงของเจ้า! ตอนนี้เจ้าอายุสิบห้าปีแล้วนี่นา" ดอแรนบีบกล้ามแขนของยีและทำหน้าประหลาดใจเกินจริง "มิน่าล่ะถึงได้แข็งแกร่งนัก ท่าทางเจ้าจะซ้อมฟันดาบทุกเช้าสินะ รึว่าไง?"
ยีเชื่อฟังทำตามที่อาจารย์ของเขาสั่งทุกอย่างโดยไม่เคยหลบเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมฟันดาบ ฝึกสมาธิหรือท่องบทกวี อันที่จริง เขาฝึกวิชาหนักกว่าศิษย์ร่วมรุ่นทุกคน รวมทั้งศิษย์รุ่นพี่ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ เขาสามารถใช้ทุกกระบวนท่าและเคลื่อนไหวตามแบบฉบับของวูจูด้วยความแม่นยำอันเหลือเชื่อเข้าสมาธิได้อย่างไร้ที่ติทั้งด้านความเร็วและรูปแบบ อีกทั้งยังท่องทั้งบทกวี เพลงและคัมภีร์วูจูได้เกือบหมด แต่แม้จะเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ แต่การพัฒนาตนเองของเขากลับมาถึงทางตันอัน
ยีไม่อาจข่มรอยยิ้มอันขมขื่นไม่ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตนได้ "ทุกวัน วันละประมาณสี่พันครั้งขอรับ"
ดอแรนผิวปาก "ฟันดาบวันละสี่พันครั้ง? นี่เจ้าฝึกวิชาช่างตีเหล็กหรือยังไงกัน?"
นักดาบหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก การฝึกทำซ้ำๆ คือหัวใจพื้นฐานแห่งหลักคำสอนของวูจูตามคำที่ว่า ลำต้นย่อมทนทานกว่ากิ่งก้าน เรื่องแค่นี้ดอแรนก็ไม่รู้รึนี่?
ก่อนที่ยีจะทันตอบ ดอแรนก็ปลดตะกร้าไม้ไผ่ลงจากหลังมายัดใส่แขนของเขา "งั้นก็เอาไป น้ำหนักแบบนี้เหมาะสำหรับคนหนุ่มแข็งแรง"
เขานวดไหล่ตัวเองในขณะที่ก้าวเดินห่างจากยีออกไป ยีนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะวิ่งตามไป
"อาจารย์? ท่านจะไปไหนขอรับ? เส้นทางนี้มันไปทางใต้"
"ไม่ต้องห่วงน่า" ดอแรนตอบ "ข้ายังรู้หรอกน่าว่าทางไหนเหนือทางไหนใต้"
"แต่เรื่องฝึกวิชาล่ะขอรับ?"
"เจ้าอยากฝึกวิชามากขนาดนั้นเลยรึ?" ดอแรนเดินทอดน่องต่อไปและยกมือขึ้นไขว้หลัง "งั้นเราก็มาเริ่มกันเลย"
ยีหยุดชั่วครู่ ทางใต้ของหมู่บ้านวูจูมีเพียงป่าที่ไร้ผู้คนอาศัย ที่นั่นไม่มีอะไรให้ "ฝึกวิชา" ได้นักหรอก เว้นแต่ดอแรนมีแผนที่จะไปล่าหมูป่า
แต่เขาได้สัญญากับอาจารย์ของเขาไว้แล้วว่าจะเชื่อฟังชายชราผู้นี้ ดังนั้น ยีจึงยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นแบกบนบ่าทั้งสองข้างและเดินตามไป
ยีไม่เคยย่างกรายมาบนเส้นทางนี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไปว่ามีเส้นทางนี้อยู่ด้วย
บนเส้นทางนี้มีก้อนหินที่จมลงไปในดินเรียงไว้เป็นทาง ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพแตกหักเนื่องด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปและไร้การดูแล หญ้าป่าขึ้นอยู่ตามที่ว่างระหว่างก้อนหินเหล่านั้น บางต้นสูงท่วมหน้าแข้งยีเลยทีเดียว ในตอนแรก เขาคิดว่าเส้นทางนี้จะทอดไปสู่วิหารหรือหมู่บ้านร้างสักแห่ง บนเกาะบาฮร์ลซึ่งแวดล้อมไปด้วยเทือกเขานั้น ว่ากันว่าซากปรักหักพังโบราณจะซ่อนตัวอยู่ในป่ารกนอกเขตหมู่บ้านและเมืองโดยไม่มีผู้ใดไปยุ่มย่าม
พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว และคำสัญญาของช่างทำอาวุธที่ว่าจะฝึกวิชาให้ก็ยังไม่เห็นมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ยีขยับตะกร้าที่แบกไว้บนไหล่ด้วยความรู้สึกโมโหงุ่นง่านใจ "ท่านอาจารย์ ที่ข้าแบกอยู่มันคืออะไรเหรอขอรับ? หนักชะมัด"
"ดาบ" ดอแรนตอบโดยไม่หันมามอง "ดาบทั้งนั้นล่ะ"
ยีเลิกคิ้ว ดอแรนทำดาบให้เฉพาะนักดาบวูจูเท่านั้น แล้วแต่ละฤดูกาลก็ทำเพียงไม่กี่เล่มด้วย
"ท่านหลอมดาบพวกนี้เองหมดเลยหรือขอรับ อาจารย์ดอแรน?"
"แค่สามเล่ม ส่วนที่เหลือน่ะ …" ดอแรนหยุดชั่วครู่ ราวกับกำลังพยายามนึกหาคำที่เหมาะสม "เป็นดาบที่ช่างคนอื่นๆ เอาให้ข้ามา"
"หมายถึงช่างทำอาวุธคนอื่นๆ เหรอขอรับ? ทำไมพวกเขาถึงมอบดาบของพวกเขาให้ท่านล่ะขอรับ?"
ยีเผลอเหลียวมองข้ามไหล่ของตัวเองไปมองตะกร้าใบนั้นและสะดุดเข้ากับหินรูปทรงประหลาดในทันใด เขาเซแซ่ดๆ ไปในขณะที่พยายามทรงตัว
"เอ้า! ระวัง!" ดอแรนรีบจับตะกร้าบนไหล่ยีให้กลับมาตั้งตรงอีกครั้ง "ในนี้น่ะมีเล่มหนึ่งที่เป็นของเจ้าด้วยนะ รู้รึเปล่า ขืนเจ้าทำดาบงอก็มีหวังมาโทษข้าทีหลังแน่ๆ"
"ของ—ของข้าเหรอ? เป็นดาบที่มีคมรึเปล่าขอรับ?"
"ก็ใช่น่ะสิ ข้าไม่ทำดาบไร้คมหรอกนะ"
มีแต่ผู้ที่เข้าใจปรัชญาแห่งวูจูว่าด้วยการต่อสู้ที่ไม่เสียเลือดเนื้อเท่านั้นจึงจะมีอภิสิทธิ์ได้ครองดาบที่มีคมอันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกความสามารถในการควบคุมตนเองของนักดาบ และดาบจากฝีมือของอาจารย์ดอแรน… ศิษย์รุ่นพี่จำนวนมากต้องฝีกวิชากว่าสิบปีจึงจะได้รับเกียรติเช่นนั้น แต่ทว่ายีเพิ่งฝึกวิชาได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้นเอง หนุ่มน้อยนักดาบรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
แต่ทว่าความตื่นเต้นของเขาคงอยู่เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม และเขาก็หลุบตาลง ดอแรนดูเหมือนจะสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งคู่เดินไปเงียบๆ อีกสองสามก้าวก่อนที่ช่างทำอาวุธจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าได้ยินจากอาจารย์เจ้าว่าเจ้ากำลังมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงกับโลกแห่งวิญญาณ"
ยีไม่ได้ตอบออกไปในทันใด เขารู้สึกอับอายเหลือแสน จนกระทั่งเมื่อเขาพูดขึ้นในที่สุดว่า "การเชื่อมโยงไม่ใช่ปัญหา หากข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ สำนักวูจูคงไม่รับข้าเป็นศิษย์ไปแล้ว" เขาเกาด้านหลังศีรษะ "แต่เหมือนว่าข้าจะดึงพลังของมันออกมาไม่ได้ บางครั้งก็ดึงออกมาได้นิดหน่อย แต่ถ่ายพลังไปที่อาวุธของข้าไม่ได้"
"อาจจะเป็นเพียงเพราะยังไม่ถึงเวลาสำหรับเจ้ารึเปล่า? การปลุกพลังของโลกแห่งวิญญาณ…" ดอแรนยิ้มพลางลูบเครา "เรื่องที่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นอาจจะแล้วแต่ชะตากำหนดก็ได้"
ยีอยากบอกดอแรนออกไปว่าเขาคิดผิด ความสามารถในการดึงพลังจากโลกแห่งวิญญาณนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะต่อรองกับโชคชะตาได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขากังวล บางทีเหตุผลที่ทำให้เขาล้มเหลวนั้นอาจเป็นเพราะไร้พรสวรรค์ติดตัวก็ได้ บางทีเขาอาจถูกลิขิตชะตามาให้ไม่มีวันทำได้สำเร็จ
แต่เขายั้งปากตนเองไว้ เขาไม่อยากถูกมองว่าอวดดี แล้วก็ยังคงหวังว่า "การฝึกวิชา" ในวันนี้จะช่วยเขาได้ แม้โอกาสจะริบหรี่เต็มทีก็ตาม
"อืม ท่านอาจจะพูดถูก" ยีตอบออกไปในท้ายที่สุด
เส้นทางที่เละเป็นโคลนนั้นเดินยากยิ่งกว่าเดิมเพราะมีทั้งรากไม้และพุ่มไม้หนามขึ้นอยู่ตามก้อนหินที่แตกหักเต็มไปหมด ก่อนหน้านี้ ยียังพอจะเห็นรอยเท้าของนักเดินทางคนอื่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ว่าตอนนี้ไม่มีร่องรอยใดบ่งชี้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตเคยย่ำผ่านเส้นทางนี้มาก่อน เสียงเดียวที่มีคือสายลมฤดูร้อนที่พัดผ่านดงต้นไม้ที่แน่นขนัด
"อาจารย์ดอแรน ท่านเคยผ่านเส้นทางนี้มาก่อนหรือเปล่าขอรับ?"
"อืม ข้าใช้เส้นทางนี้ปีละครั้งทุกๆ ปี อาจารย์เจ้ายังเคยมากับข้าสองหรือสามครั้งเลย"
ยีประหลาดใจ "อาจารย์หูหรง? เขาไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลย"
"ข้ามั่นใจว่าเขาต้องเล่าให้เจ้าฟังในสักวันแน่" ดอแรนโบกมือให้เขาก่อนจะเร่งฝีเท้า เมื่อเห็นเขาก้าวอาดๆ ว่องไวเช่นนี้ ก็แทบจะลืมไปเลยว่าชายชราผู้นี้มีอายุเกือบหกสิบปีแล้ว ชักจะไม่เหมือนปูทะเลสักเท่าไรเสียแล้วสิ
เขาพานักดาบคนอื่นๆ มาด้วย เขาต้องการผู้อารักขางั้นเหรอ? นี่คือการฝึกวิชาหรือเปล่า โอกาสที่ข้าจะได้ฝึกซ้อมเพลงดาบแห่งความปรานี? ยีรู้สึกยินดีขึ้นมาเมื่อคิดถึงโอกาสเช่นนั้น?
"อาจารย์เคยเจออันตรายระหว่างใช้เส้นทางนี้บ้างหรือเปล่าขอรับ?"
"ไม่เคยเลย" ดอแรนส่ายหน้าและยิ้ม "แต่จับดาบของเจ้าไว้ให้มั่นเถอะเจ้าหนู ข้าจะเจออะไรระหว่างเดินทางมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าหรอก ต่อให้ข้าเคยใช้เส้นทางนี้นับพันครั้งโดยไม่เจออันตรายอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะไม่เจออะไรด้วยแน่นอน"
เสียงร้องแหลมเหมือนนกดังก้องขึ้นมาในทันได้ราวกับนัดไว้
ยีชะงักและยกด้ามดาบที่ไร้คมของของเขาขึ้นมาตั้งตรงอก เขาจำได้ว่านี่คือเสียงของนกนักล่า เป็นนกป่าสายพันธุ์ดุร้ายที่มักพบในป่าลึก
นักดาบขบกรามแน่นและกวาดตามองแนวต้นไม้
ดอแรนกลอกตาและพยักเพยิดไปด้านหน้า "เจ้าเห็นเทือกเขาตรงโน้นมั้ย?"
ตรงด้านหน้า ยอดทิวเขาทอดยาวต่อเนื่องตัดเส้นขอบฟ้า แม้จะไม่ได้สูงมากจนผิดปกติแต่ก็ยาวสุดสายตา
ป่าเงียบไปตั้งแต่หลังจากเสียงร้องของนกนักล่าตัวนั้น ยีจึงลดดาบลง "เราต้องปีนเขาหรือขอรับ?" เขาถามและพยายามกลบเกลื่อนความหงุดหงิดของตน
"เจ้ามาจากบาฮร์ล" ดอแรนตอบและใช้หลังฝ่ามือตีหน้าอกของยี "เจอภูเขาแค่นี้เจ้าไม่หวั่นอยู่แล้ว ถูกมั้ย?"
ยีเงยหน้ามอง ดวงอาทิตย์สีทองเจิดจ้าลอยอยู่บนผืนผ้าใบสีฟ้าที่ไร้เมฆปกคลุม เขาต้องยอมรับว่านี่เป็นวันที่เหมาะสำหรับการเดินป่าอย่างแท้จริง
เขายืดอกและเดินหน้าต่อไป
หลังจากเดินผ่านป่าละเมาะและข้ามลำธารสายหนึ่งไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเทือกเขานั้น ในตอนนี้ พวกเขาอยู่นอกเขตหมู่บ้านวูจูมาไกลเกินขอบเขตที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายมองว่าเหมาะจะเดินทาง แต่ดอแรนก็ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอฝีเท้าลงแม้แต่น้อย
เมื่อถึงจุดแรกของทางชันที่ต้องไต่ขึ้นไป พวกเขาก็ก้าวไปตามบันไดหินที่ทอดยาว บันไดเส้นทางนี้อาจมีผู้ใช้สัญจรมากมายในอดีต แต่ตอนนี้มันทั้งแตก อีกทั้งยังมีวัชพืชและโคลนลื่นปกคลุม ขั้นบันไดสิ้นสุดลงตรงหน้าผาชันที่สูงเท่าชายสามคนได้ และก่อนที่ยีจะทันได้ถามอะไรออกไป ดอแรนก็คว้าแง่งหินที่พอจะเกาะได้และเริ่มต้นปีนขึ้นไปเสียแล้ว เขาไต่ไปถึงด้านบนโดยแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายและหันลงมามองยีด้วยสีหน้าที่เหมือนจะบอกว่า รออะไรอยู่เล่า?
การปีนหน้าผาหินนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับหนุ่มสาวชาววูจูทุกคน แต่ยีไม่เคยลองปีนเขาแบบนี้โดยที่แบกสัมภาระหนักอึ้งไว้ด้วยมาก่อน ภารกิจนี้ยากกว่าภาพที่เห็นมากนัก หลังจากที่เขาปีนขึ้นมาถึงด้านบนหน้าผาสำเร็จในที่สุด เขาต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่จะเลิกหอบ
ในที่สุด ยีก็ลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ เขาชะงักในทันใดเมื่อสายตาแลเห็นหินแผ่นหนึ่งอยู่ตรงหน้า มีคำหนึ่งคำจารึกไว้บนนั้น เขาแทบดูไม่ออกว่าอักษรไอโอเนียที่อยู่บนนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร
หมอกโปรย
"เรายังมีเวลา" ดอแรนนั่งลงข้างแผ่นหินนั้นและจิบน้ำจากถุงหนัง "พักกันก่อน"
เขาหยิบเค้กข้าวออกมาจากกระเป๋าลับหรือกระเป๋าปริศนาซึ่งซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งและเริ่มเคี้ยว หลังจากกินไปได้สองสามคำ ดอแรนเงยหน้าขึ้นมองราวกับจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขายื่นเค้กข้าวส่วนที่เหลือให้ยีซึ่งยังคงพินิจแผ่นหินนั้นอยู่ เมื่อเห็นรอยหยักฟันบนเค้กข้าวนั้น ยีก็ส่ายหน้า
"อาจารย์ ที่ท่านบอกว่าเรายังมีเวลาคือหมายถึงสำหรับการฝึกวิชาของข้าใช่มั้ย?"
ดอแรนซึ่งยังมีอาหารอยู่เต็มปากตบเข่าฉาด "เคราที่ลงสบู่ไว้ดีก็เท่ากับโกนเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าหนู ถ้าเจ้าอยากเริ่มฝึกวิชามากจนตัวสั่นขนาดนั้นล่ะก็ ข้าขอแนะนำให้พักเอาแรงที่นี่ซะก่อน"
เมื่อเห็นดอแรนเริ่มกินเค้กข้าวชิ้นที่สอง ยีก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ถอนหายใจโมโหฟึดฟัดออกมา เขาหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อกลบเกลื่อนความร้อนใจของตน
นอกจากหินแผ่นนั้นแล้ว ยียังสังเกตเห็นว่ามีซากปรักหักพังโบราณอื่นที่ซ่อนอยู่ใต้ดงเถาวัลย์และพุ่มไม้ แม้จะเหลือเพียงซากเสาและกำแพง เขาก็พอจะดูออกว่าสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่อลังการนี้แตกต่างจากเจดีย์ของวูจูโดยสิ้นเชิง
ดอแรนชี้ไปที่ซากปรักหักพังพวกนั้น "บนภูเขาแห่งนี้เคยมีวิหารแห่งหนึ่งอยู่ เป็นที่สักการะบูชาเทพเจ้าที่ตกสวรรค์ลงมาตั้งแต่เมื่อครั้งโบราณก่อนที่พวกเราจะเกิด ไม่มีใครรู้ว่าเทพเจ้าองค์นั้นชื่ออะไร แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าพวกที่บูชาเทพเจ้าองค์นั้นหายไปไหนหมด เหลือก็แค่พวกหินเหล่านี้"
"บุปผาโรยรา ผู้คนแก่เฒ่า แม้ดาวยามฟ้าสางก็ย่อมหวนคืนสู่ผืนราตรี" ยีท่อง จากนั้นเขาชี้ไปที่แผ่นหินนั้น "พวกเขาเป็นคนตั้งชื่อที่นี่ว่าหมอกโปรยหรือขอรับ?"
"คนรุ่นหลังจากนั้นน่ะเป็นคนสลักมักขึ้นมา ส่วนชื่อนั่น…" ดอแรนชี้ไปที่อีกฟากหนึ่งของหน้าผา "ถ้าเจ้าไปดูตรงโน้นก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งเอง"
ยีชะโงกมองเวิ้งเลยขอบหน้าผาไปด้วยความระมัดระวัง เบื้องล่างเขานั้นมีหมอกหนาสีขาวปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาและเลยไปไกลจนถึงบริเวณที่ท้องฟ้าสีครามตัดกับแนวขุนเขา ภาพที่เห็นช่างน่าทึ่ง ความยิ่งใหญ่ของมันแผ่ไพศาลไปไกลสุดลูกหูลูกตา
หุบเขาแห่งนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่ มันทำให้ยีนึกถึงทะเลสาบ ต่างกันตรงที่ว่าแทนที่จะเป็นผืนน้ำกลับเป็นสายหมอกสีเงินที่ลอยวน เส้นทางแคบๆ เส้นหนึ่งทอดยาวจากหน้าผาลงไปด้านล่างและหายลับไปกลางเวิ้งความลึก
"เจ้าเห็นนั่นมั้ย?" ดอแรนถาม "นั่นล่ะคือที่ที่เราจะไปกัน"
"ที่นั่น? ในหุบเขาน่ะเหรอขอรับ?"
"ใช่แล้ว"
หลังจากการเดินทางอันยาวนานผ่านแดนพงไพรที่ร้างผู้คน การฝึกวิชาของเขายิ่งดูห่างไกลหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก ยีทนรับความไร้สาระอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
"ท่านอาจารย์ นี่เราฝึกวิชาแบบไหนกันอยู่ขอรับ?" เขาโพล่งถามออกไป
"ข้าบอกได้แต่ว่าการเดินทางมันจะลำบากลำบน เจ้าจึงควรพักผ่อนเอาแรงในตอนนี้ให้เต็มที่"
ยีข่มความหงุดหงิดของเขาไว้ในใจ เห็นได้ชัดว่าดอแรนไม่ยอมอธิบายต่ออย่างแน่นอน เขาเจอหินผิวเรียบแผ่นหนึ่งอยู่ฟากตรงข้ามชายชราและนั่งลงบนนั้นโดยวางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ข้างตัว
ลืมเรื่องการพักผ่อนไปซะ อย่างน้อยที่นี่ก็เหมาะอย่างมากสำหรับการฝึกสมาธิ
ยีหลับตาและเริ่มผ่อนลมหายใจให้ยาวขึ้นและช้าลง บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ได้ แต่เขาต้องใช้เวลานานกว่าปกติจึงจะเข้าสู่ภาวะจิตนิ่งเป็นสมาธิ ในห้วงกึ่งภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น ลำแสงหนึ่งได้แผ่คลุมทั่วทั้งร่างของเขา ตรงปลายของลำแสงนั้นมีวัตถุที่ดูสว่างและแปลกประหลาดปรากฏขึ้น มันเป็นดั่งประกายแสงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งดวงจิตเขา
วิญญาณ
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดสำหรับยีที่จะพบพานดวงวิญญาณในขณะที่นั่งสมาธิ เขาพบเจอดวงวิญญาณบ่อยครั้งกว่าเพื่อนร่วมสำนักส่วนใหญ่ นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะมันบ่งบอกว่าเขาใกล้ชิดกับโลกแห่งวิญญาณมากขึ้นและน่าจะช่ำชองด้านการดึงพลังงานจากโลกแห่งวิญญาณ
น่าจะ
ยีเพ่งสมาธิไปที่แสงสีขาวนั้นและลบความคิดอื่นให้หมดจากจิตใจ ในไม่ช้า เขาก็ตระหนักว่านี่ไม่ใช่ดวงวิญญาณทั่วไป เขาพยายามจะไขว่คว้าและสัมผัสรู้ถึงจังหวะการเคลื่อนไหวของมัน แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับตัวตนนั้นและหายวับไปท่ามกลางแสงเจิดจ้า
เขาพยายามฝืนลืมตาและพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นซิลเวอร์วู้ดยักษ์ เป็นต้นเดียวกับที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านวูจู แต่ทว่าอาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไปนั้นดูแปลกไปไม่คุ้นตา
ยียืนอยู่ในอาการเงอะงะตกใจก่อนจะออกเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เขาเห็นผู้คนที่คุ้นเคยไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่และเพื่อนร่วมสำนักของเขา รวมไปถึงเจ้าลิตเทิล บิวตี้ซึ่งเป็นแมวสีดำของเพื่อนบ้านและเจ้าโกลดี้ซึ่งเป็นสุนัขของหัวหน้าผู้อาวุโส ทุกคนดูเหมือนจะง่วนอยู่กับโลกส่วนตัวของพวกเขาและไม่สนใจยีเลยแม้แต่น้อย นี่ต้องเป็นภาพนิมิตแน่ๆ เขาคิด เขาบอกตัวเองให้นิ่งไว้ในขณะที่เดินต่อไปบนถนนสายหลักของหมู่บ้าน
และแล้วยีก็ได้เห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ "อาจารย์ดอแรน?"
ช่างทำอาวุธวัยอาวุโสเหลือบมองยีแว่บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ แต่เขาไม่ได้กำลังหลอมดาบ ในจุดที่ควรจะมีเตา เครื่องมือช่างและทั่งวางอยู่นั้นกลับมีเพียงกระถางดอกไม้และต้นกล้าที่ยังไม่โตดี เขายิ้มกว้างด้วยความสุขใจและค่อยๆ ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ต้นกล้าในกระถางตอบสนองด้วยการม้วนคลายออกและยืดขึ้น มันเติบโตอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อและแทงใบออกมาจนเห็นชัดว่าเป็นต้นสนจูนิเปอร์ขนาดย่อม ดอแรนพินิจสำรวจมันอย่างใกล้ชิดและดูเหมือนจะไม่พอใจ เขายกแขนขึ้นอีกสองสามครั้ง รูปร่างของต้นไม้นั้นแปรเปลี่ยนไปและโบกสะบัดไปมาอย่างเริงร่างท่ามกลางสายลมก่อนจะกลายสภาพเป็นต้นหลิวลู่ลม
ยีถึงกับตกตะลึงและหันไปมองส่วนอื่นๆ ของหมู่บ้านแห่งนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นว่าบ้านทุกหลังปกคลุมด้วยเหล่าพืชพรรณหลากสีสันที่ดูอุดมสมบูรณ์และประหลาดตา บ้านพักอาศัยหลายๆ หลังดูเหมือนจะงอกออกมาจากหินเนื้อแข็งในขณะที่บางหลังก็บิดเป็นลักษณะที่ดูแล้วคล้ายมนุษย์ ไม่เฉพาะเพียงแต่รูปทรงเท่านั้นแต่รวมถึงการเคลื่อนไหวด้วย
ในขณะที่ยีค่อยๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย เสียงแตรก็ดังมาจากกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านเกือบทุกคนวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่และรีบเดินจ้ำไปทางภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของชุมชน
น้ำตกสายหนึ่งไหลลงมาจากภูเขาและบังถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังไว้ ดอแรนเป็นสมาชิกคนแรกของหมู่บ้านที่เดินทางมาถึง เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นแหวกสายน้ำออกให้เดินผ่านเข้าไปได้โดยตัวไม่เปียก ชาวบ้านคนอื่นๆ รีบตามเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นอย่างรวดเร็วทีละคน แต่เมื่อยียกแขนทั้งสองข้างขึ้น มันกลับไม่มีผลใดกับสายน้ำที่ไหลรินลงมา
นี่มันแค่ภาพนิมิต เขาย้ำกับตัวเอง ตัวเปียกไปก็ไม่เป็นไรหรอก
เขาก้าวผ่านน้ำตกสายนั้นเข้าไปและพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ เทียนนับพันเล่มๆ เรียงรายเต็มพื้นที่นั้น ตรงกลางถ้ำคือกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาก่อนหน้าเขาและกำลังสนทนาด้วยภาษาที่ยีไม่เข้าใจ ที่มุมตรงข้าม เขาเห็นอาจารย์หูหรงผู้สอนวิชาวูจูของเขากำลังยืนอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงของหมู่บ้านแห่งนี้
บนผนังหินมีร่องและเส้นที่ดูแปลกประหลาดสลักไว้ ลวดลายนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนแปรไปในขณะที่อาจารย์หูหรงพูดและออกท่าออกทาง มันดูเหมือนภาพลายเส้นอักษรวิจิตรที่มีชีวิต ไม่สิ ไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นแผนที่บางอย่าง
เหล่าผู้อาวุโสหารือกันเสร็จแล้ว พวกเขาสบตากันและพยักหน้า จากนั้น อาจารย์ของยีก็ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว ประตูบานหนึ่งขยับเปิดออกอย่างง่ายดาย ผนังฟากหนึ่งแหวกเคลื่อนขึ้นไปบนเพดานถ้ำและเผยให้เห็นท้องฟ้าในขณะที่ลำแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทั้งถ้ำ ด้านนอกคือหน้าผาที่สูงลิบลิ่วจากพื้นด้านล่าง
อาจารย์หูหรงดีดตัวออกไป เขากลายร่างเป็นนกเจย์สีฟ้าสดใสและทะยานเวหาเหินจากภูเขาไปสู่หมู่เมฆ ตามมาด้วยผู้อาวุโสคนและชาวบ้านคนอื่นๆ ที่พากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ดังก้องไปทั่วถ้ำที่แหวกออกแห่งนี้หลังจากพวกเขากลายร่างเป็นนก โดยทิ้งเพียงยีและดอแรนไว้ข้างหลัง
ด้วยรู้ว่าตนไม่สามารถสื่อสารกับดอแรนได้ ยีจึงผงกศีรษะเป็นการคารวะให้และเตรียมจะลาจากไป เขาถึงกับตกใจเมื่อดอแรนร้องเรียกเขาด้วยภาษาที่เขาสามารถเข้าใจได้ น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาและทุ้ม
"เจ้า เจ้ายึดมั่นในเส้นทางแห่งวูจูใช่หรือไม่?"
ยีชะงักตัวแข็งทื่อและจ้องช่างทำอาวุธผู้นั้นโดยไม่พูดอะไร
"ข้าเคยพบผู้ฝึกวิชาวูจูมาก่อน" ดอแรนพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ยีไม่เคยรู้มาก่อนว่าดวงตาของเขาดูแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ลูกตาสีแดงเข้มที่จ้องเขาเขม็งนั้นฉายประกายอันน่าสะพรึงและดูไร้ชีวิต "เจ้าพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะเค้นเอาพลังอันน้อยนิดออกมาจากโลกแห่งวิญญาณเท่าที่ทำได้ เพียงเพราะอยากเอาพลังนั้นมาใส่ไว้ในอาวุธ ช่างน่าอดสู แต่การเลียนแบบอันน่าสังเวชนี้ก็ยังมากพอที่จะทำให้เจ้าขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่ง"
"การเลียนแบบ?" ยีไม่เคยได้ยินใครเหยียดหยามวิถีแห่งวูจูเช่นนี้มาก่อนเลย "เลียนแบบใคร?"
ดอแรนไม่สนใจคำถามนั้นแต่กลับชี้ไปที่ผนังถ้ำซึ่งค่อยๆ เคลื่อนปิด "ไป ตามพวกเขาไป"
ยีเงยหน้ามองท้องฟ้า นี่มันตลกสิ้นดี "แต่ข้าบินไม่ได้"
"เจ้าบินได้"
เสียงของดอแรนดังขึ้นด้านหลังเขา ยีหันไปและเห็นช่างทำอาวุธผู้นั้นกำลังยืนอยู่นอกทางเข้าถ้ำ นิ้วมือประกบกัน "เจ้าแค่ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร"
ทางเข้าถ้ำและช่องว่างตรงผนังถ้ำกระแทกปิด ยีถูกขังอยู่ด้านใน ทางเดียวที่เขาจะหนีออกไปได้คือโพรงที่อยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไป ดูเหมือนดอแรนผู้มีดวงตาสีแดงเข้มคนนี้จะอยากบังคับยีให้โบยบินออกจากภูเขาแห่งนี้ไปเหมือนคนอื่นๆ
ยีร้องฮึ จากนั้นก็นั่งลงบนพื้นหินโดยขยับขาไว้ขัดสมาธิและหลับตา บินออกไปเหรอ? ไม่จำเป็นหรอก ภาพนิมิตก็ไม่ต่างอะไรจากความฝันนั่นล่ะ ไม่ว่ามันจะพิลึกพิลั่นสักเพียงใด แค่ลืมตาตื่นขึ้นมาให้ได้ ทุกอย่างก็กลายเป็นเพียงมายาที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ยีร้องเฮือกเมื่อลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองกลับมาอยู่บนแผ่นหินใกล้หมอกโปรย ที่ฟากตรงข้ามกับจุดที่ดอแรนนั่งอยู่ ช่างทำอาวุธวัยชราดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นว่ายีสะดุ้งตื่นเพราะกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง
ยีหยิกติ่งหูของตัวเอง เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่กลับออกมาจากภาพนิมิตเพื่อเป็นการตรวจสอบว่าเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วจริงๆ แต่กระนั้น ภาพนิมิตที่เห็นก็ชัดเจนเหมือนจริงมากเสีนจนกระทั่งแม้เมื่อหยิกติ่งหูของตัวเองแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกมายาอยู่
"อาจารย์?"
"หืมม?" ดอแรนหันมามองเขา "มีอะไร?"
ยีจ้องดวงตาสีน้ำตาลเข้มของดอแรน "ข้านั่งสมาธิไปนานแค่ไหนหรือขอรับ?"
"เพิ่งนั่งไปได้ไม่นานเอง ถามทำไม?"
ยียกมือขึ้นลูบริมฝีปาก เขาจะไม่ยอมเล่าเรื่องราวที่ได้ประสบมาและยังไม่เข้าใจมันดีให้คนอื่นฟัง
"ไม่มีอะไร เราไปกันเลยดีมั้ยขอรับ?"
อย่างที่ดอแรนเตือนไว้ไม่มีผิด เส้นทางที่ทอดยาวลงไปสู่ทะเลหมอกนั้นแสนจะอันตราย ตะไคร่ลื่นสีเขียวขึ้นปกคลุมขั้นบันไดหิน แต่ละก้าวจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ภารกิจครั้งนี้ยิ่งยากหนักขึ้นด้วยความที่เขาต้องแบกตะกร้าใบหนักที่เต็มไปด้วยดาบ แต่ยีไม่บ่นแม้สักคำ เขาจะไม่ยอมให้ดอแรนได้รู้สึกสะใจ
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงแค่ดอแรนเท่านั้นที่รู้จักสถานที่ลับแห่งนี้ ในขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ดงหมอกมากขึ้น ยีมองเห็นแผ่นไม้กระดานที่ค่อนข้างใหม่อยู่ตรงข้างทางเดิน เป็นป้ายที่มีข้อความเตือนอันตรายเขียนไว้ ลายมือไก่เขี่ยและการสะกดที่ผิดๆ บอกให้รู้ว่าป้ายนี้เขียนขึ้นโดยนายพรานที่ไม่ได้เรียนหนังสือสูง
ยีไม่รู้ว่าประสาทสัมผัสหลอกให้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ในจังหวะที่เดินผ่านกระดานแผ่นนั้น มันรู้สึกหนาวขึ้นมา นี่เป็นวันอากาศร้อนในฤดูร้อน แต่ทว่าตอนนี้สายลมเย็นยะเยือกกำลังพัดหมุนอยู่รอบตัวเขา นอกจากนั้น สายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวในขณะที่หมอกหนาที่แปลกประหลาดลอยล้อมรอบกายเขาและดอแรน
ยีเดินตามผู้อาวุโสไปติดๆ และกำด้ามดาบของเขาไว้แน่นพลางกวาดตามองทั่วบริเวณโดยรอบด้วยนึกหวั่นในใจว่าอาจมีอะไรบางอย่างกระโดดออกมาจากดงหมอก
"นี่ไม่ใช่หมอกปกติ" ยีพึมพำ "ที่นี่มีวิญญาณล่องลอยอยู่ เราควรจะรอให้พวกมันไปให้หมดก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง"
"พวกวิญญาณไม่มีวันจากไป" ดอแรนตอบและส่ายหน้า "พวกมันอาศัยอยู่ที่นี่มานานก่อนหน้าที่จะมนุษย์จะมาตั้งรกรากในไอโอเนีย ไม่ต้องกังวลไป เราจะอยู่ที่นี่ไม่นานนักหรอก" เขาพยักเพยิดไปด้านหน้า "มานี่มา เจ้าสายตาดีกว่าข้า มาช่วยมองหาดาบหน่อย"
ยีขมวดคิ้ว "มองหาดาบ? ที่นี่น่ะเหรอขอรับ?"
"ดาบพลาซิเดียมน่ะ น่าจะหาได้ไม่ยาก" ดอแรนอธิบาย "ข้าทิ้งมันไว้เป็นเครื่องหมายบอกทางเมื่อครั้งก่อนที่มาที่นี่"
ยีมองไปรอบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยผืนหมอกหนาสีขาว ไม่ต้องสนใจเรื่องมองหาดาบพลาซิเดียมหรอก นี่ถ้าหากมีคนยืนอยู่ห่างออกไปข้างหน้าแค่สองก้าวนี่ก็แทบจะมองไม่เห็นแล้ว ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดใดดี ยีจึงแสร้งทำเป็นก้มมองที่พื้นทั้งสองฟาก
เขาเดินต่อได้เพียงสองสามก้าวก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในทันใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนร่างของเขาเบาขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้ำหนักของตะกร้าไม้ไผ่ที่แบกไว้ก็หายไปในความรู้สึก
"อาจารย์ดอแรน" ยืนพูดด้วยอาการกระสับกระส่าย
แต่ดอแรนไม่ชะลอฝีเท้าหรือหันมาแต่อย่างใด เขากลับเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ยีตกใจและรีบเร่งฝีเท้าตามให้ทัน แต่ช่างทำอาวุธกลับยิ่งห่างออกไป จนกระทั่งในไม่ช้าดอแรนก็ลับตาไปท่ามกลางดงหมอกสีขาว ยีมองดูในขณะที่ผืนหมอกนั้นกลืนเขาหายไป หมอกนั้นหนามากจนเขามองไม่เห็นขาตัวเองด้วยซ้ำ เขาไร้ทั้งน้ำหนักและร่าง ลอยละล่องไปกลางสายหมอกที่ดูดั่งไม่ใช่ความจริง
ไม่ เขาไม่ได้แค่ลอยละล่อง เขากำลังทะยานขึ้นไป หมอกเหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นหมู่เมฆและอากาศอันเย็นยะเยือกก็กลายเป็นสายลม
เขาต้องอยู่ในภาพนิมิตอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่ทว่าครั้งนี้พวกดวงวิญญาณไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนใดๆ ก่อนจะกระชากเขามา
ด้วยรู้สึกสับสนไม่รู้จะไปทางใด เขาจึงพยายามกางแขนทั้งสองข้างออกทรงตัว แต่ทว่าปีกสีเขียวหยกงามสง่าคู่หนึ่งกลับแผ่ออกมาจากร่างเขาแทน
ข้ากลายเป็นนกแล้ว!
ในขณะที่เขาทะยานไปบนผืนฟ้า ชายฝั่งที่ทอดยาวก็ปรากฏสู่สายตา ลมทะเลที่มีไอเกลือพัดผ่านเขาไปในขณะที่คลื่นมหาสมุทรสีฟ้าซัดกระแทกฝั่ง ดินแดนแห่งนี้ให้ความรู้สึกดุจดั่งบ้าน แต่กระนั้นตรงปลายชายหาดก็มีโครงสร้างสีเทาเข้มตั้งตระหง่าน อาคารขนาดใหญ่ซึ่งไม่อาจพบพานในไอโอเนีย
นั่นใช่ … นั่นใช่อนุสาวรีย์อะไรบางอย่างหรือเปล่า? หากไม่ใช่เพราะการก่อสร้างที่ดูได้สัดส่วนแม่นยำ อาจทำให้เข้าใจไปว่านั่นคือภูเขาก็ได้ เมื่อบินเข้าไปใกล้ขึ้น เขาจึงเห็นว่ามันคือหอคอยขนาดยักษ์สามหลัง แต่ละหลังล้วนมีขนาดใหญ่เหลือเชื่อและตั้งอยู่บนฐานรากเดียวกัน
นี่ไม่มีทางเป็นสิ่งที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน
ยีไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน หอคอยเหล่านี้สร้างจากหินขนาดใหญ่นับพันๆ ถูกขัดและสลักเป็นก้อนสี่เหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ โดยแต่ละก้อนมีความสูงเท่านักดาบวัยฉกรรจ์
ฝูงนกสีสันสดใสแห่ทะยานผ่านหมู่เมฆมุ่งหน้าสู่ป้อมปราการแห่งนั้น ยีกางปีกเหินเวหาด้วยความเร็วพุ่งไปรวมกลุ่มกับพวกเขาโดยไม่อาจรู้แน่ได้ว่านั่นเป็นเจตจำนงของตัวเขาเองหรือไม่
เขาตามนกสีแดงเจิดจ้าตัวหนึ่งไป โฉบถลาผ่านหอคอยทั้งสามหลัง นกตัวนั้นทิ้งห่างยีไปในขณะที่มันพุ่งตัวมุ่งหน้าสู่ฐานหอคอยและกลิ้งถลาเมื่อถึงพื้น เมื่อนกตัวนั้นลุกขึ้นยืน มันก็กลายร่างเป็นมนุษย์ อาจารย์ดอแรนผู้มีดวงตาสีแดงเข้มนั่นเอง เขาส่งสัญญาณเรียกเมื่อเงยหน้าขึ้นมองยีซึ่งยังบินวนอยู่ด้านบน
ยีโฉบลงเกาะบนบ่าของดอแรนก่อนจะถลาลงมาบนพื้น เมื่อลุกขึ้นยืน เขาก็พบว่าขาของเขากลับมาเป็นขาของมนุษย์ดังเดิม พร้อมทั้งส่วนอื่นๆ ของร่างเขาด้วย
"เจ้าก็สามารถบินได้นี่" ดอแรนเอ่ย
ยีหอบหายใจและพูดด้วยอาการตื่นเต้นคึกคัก "อาจารย์ดอแรน—"
แต่ดอแรนส่ายหน้า "เปล่า เขาเป็นเพียงแค่รูปกายหนึ่งที่ข้าจำแลงให้เห็น"
เขาพูดแต่เพียงเท่านั้น ยีกะพริบตาปริบๆ ทำไมวิญญาณดวงนี้ถึงจำแลงกายอยู่ในรูปของดอแรนทั้งที่ก็มีคนอื่นตั้งเยอะตั้งแยะ?
เขายืดหลังตรง สายตาจับจ้องอยู่ที่หอคอยมหึมา "ที่นี่คือที่ไหน?"
"เจ้าเรียกมันว่าบาฮร์ล" วิญญาณที่มีรูปลักษณ์เหมือนดอแรนชี้ไปที่แนวชายฝั่งอันคดเคี้ยวดั่งอสรพิษและมีหน่วยนักรบพร้อมอาวุธหอกและทวนในมือทำหน้าที่ประจำการณ์ลาดตระเวนชายหาด อาวุธและเกราะของพวกเขาดูแปลกตา "พวกเขาเรียกมันว่าชายฝั่งอีกฟาก พวกเราเรียกมันว่าบ้าน"
"พวกเขาเป็นใคร? แล้วพวกเรานี่หมายถึงใคร?"
ยีหันไปมองวิญญาณนั้น แต่เขาไม่อยู่แล้ว มีเพียงขนนกสีแดงและขาวสองสามอันเท่านั้นที่เหลืออยู่
บ้าสิ้นดี
ยีอยากออกไปจากภาพนิมิตนี้เหมือนก่อนหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เริ่มทำสมาธิ เสียงที่ดังเป็นจังหวะก็ลอยมาให้ได้ยินจากที่แสนไกล เป็นเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา เป็นเสียงโลหะกระทบกันและเสียงร้องของคน เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นที่สุดและตามไปยังแหล่งต้นเสียงนั้น
ในขณะที่ยีผ่านหอคอยยักษ์นั้น มันปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นว่าขนาดของหอคอยเหล่านี้ใหญ่มหึมาจนดูไม่น่าจะเป็นจริงได้ หอคอยแต่ละหลังนั้นสามารถรองรับหมู่บ้านวูจูได้ทั้งหมู่บ้านแถมยังมีพื้นที่เหลืออีกด้วย แต่ทำไมถึงจะมีใครบางคนที่สร้างที่พำนักซึ่งทั้งใหญ่และน่าเกลียดเช่นนี้? มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ยีมัวแต่คิดจนแทบชนเข้ากับชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่เดินผ่านไป เขาสวมหมวกเกราะโลหะวาววับ แต่หน้าอกนั้นเปลือยเปล่าและถือง้าวหน้าตาแปลกประหลาด
เช่นเดียวกับชาวบ้านที่ยีเห็นในภาพนิมิตก่อนหน้า ผู้คนในภาพนิมิตครั้งนี้ไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนัก ชายต่างแดนคนนั้นหยุดชั่วครู่ก่อนจะออกเดินต่อไปตามทางของเขา มีนักรบอีกสองสามรายที่ลาดตระเวนอยู่แถวนั้นด้วยกิริยาท่าทางที่บ่งชัดถึงความแข็งแกร่ง พวกเขาก็ปล่อยให้ยีผ่านไปเช่นกัน
เมื่อยีเข้าไปใกล้ป้อมดิน เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวจนหูอื้อ เขาได้ยินเสียงกลองศึกรัวโดยมีเสียงตะโกนแทรกเป็นระยะ
ยีกลืนน้ำลายในขณะที่ปีนป้อมนั้นขึ้นไปและค่อยๆ ชะเง้อดูสิ่งที่อยู่พ้นแนวนั้นไป
ทหารหลายพันรายรวมพลกันอยู่ตรงลานจัตุรัสขนาดใหญ่ พวกเขามีจำนวนมากกว่าชาวหมู่บ้านวูจูอย่างมาก พวกเขาเข้าแถวเป็นระเบียบตามแนวธงรบของพวกเขาและมีอุปกรณ์หลากหลายต่างกันไป บางคนมีเกราะเหล็กที่มีหนามแหลม บางคนสวมเสื้อหนังสัตว์ผืนหนา บ้างก็สวมเพียงเสื้อคลุมผ้าเนื้อบาง แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่ทหารเหล่านี้เป็นหนึ่งเดียวด้วยจุดมุ่งหมายและยกมือขึ้นทุบอกเป็นจังหวะพร้อมเสียงกลองและกู่ร้องพร้อมรบ
"ไหนบอกข้าซิ ศิษย์วูจู" น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นทางด้านหลังเขา "เจ้าเห็นอะไร?"
ยีคว้าปลอกดาบของเขาและหมุนตัวไปพบวิญญาณดวงตาสีแดงเข้มที่ยืนอยู่ตรงด้านล่างป้อม เขาปีนขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับยีและวางมือเขาลงบนขอบป้อมดินเบาๆ
"บอกความรู้สึกแรกๆ ของเจ้ามา" วิญญาณนั้นเอ่ย
ยีตอบกลับด้วยคำถาม "พวกเขาเป็นใคร? ทำไมท่านถึงให้ข้าดูสิ่งนี้?"
แต่วิญญาณนั้นไม่ยอมจำนน "คำแรก" เขาจี้ต่อ "ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา"
"คำแรก …" ยีจ้องหมู่นักรบที่เรียงรายอีกครั้ง "ความแข็งแกร่ง" เขาตอบในท้ายที่สุด
"ความแข็งแกร่ง เจ้าเห็นความแข็งแกร่งที่ไหน?"
"ที่ไหน?" ยีเกาศีรษะ "นักรบแต่ละคนมีความดุดันดั่งเสือ ความแข็งแกร่งดั่งหมีใหญ่ พวกเขามีอาวุธคมกริบและเกราะวาว เสียงกู่ร้องดังก้องไปทั่วชายหาด—"
"นั่นคือสิ่งที่เจ้าเห็นสินะ โอ้ เจ้าหนู นี่คือเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่" สีหน้าของวิญญาณนั้นดูขึงขังขึ้นในขณะที่พยักหน้า เขาชี้ไปด้านหลังนักดาบหนุ่ม "เจ้ามุ่งสายตาไปผิดทางแล้ว ยิ่งเจ้าฝึกวิชามากเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายของตัวเองมากเท่านั้น"
ยีหันไปมองด้านหลัง แต่ก่อนที่เขาจะทันเห็นสิ่งใด วิญญาณนั้นก็ผลักเขาให้พ้นไปจากป้อมจนเขาเซไปบนพื้นซึ่งตอนนี้อยู่ห่างลงไปไกลเหลือเชื่อ แม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในห้วงนิมิต แต่ยีก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ
เขาหลับตาปี๋ในขณะที่พื้นเข้ามาใกล้มากขึ้น
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่โดยมีหมอกหนาล้อมรอบ ตะกร้าไม้ไผ่อยู่บนหลังเขา ยีคิดว่าตัวเองน่าจะกลับมาที่หมอกโปรยแล้ว แต่เขาหยิกใบหูตัวเอง เขาต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าออกมาจากภาพนิมิตนั้นแล้ว เมื่อพอใจแล้วเขาจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า
"ทำไมเขาถึงวุ่นวายกับข้านักนะ?" ยีโอดโอยและบีบสันจมูกตนเองด้วยความหงุดหงิด "เขาพูดเรื่องอะไรของเขากันนะ?"
ในขณะที่ยีปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาและถอนหายใจสองสามครั้งด้วยความโล่งใจ ดอแรนเดินกะโผลกกะเผลกพร้อมหอบบางอย่างไว้ในอ้อมอก เขาไล่สายตาขึ้นลงมองยี
"ไง เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมานั่งอยู่ล่ะ?" ช่างทำอาวุธถือดาบรูปทรงประหลาดซึ่งมีคมดาบที่พลิ้วเป็นระลอกดูดั่งอสรพิษ นี่อาจจะเป็นดาบพลาซิเดียมที่เขาตามหาอยู่
"อาจารย์ดอแรน" ยีเอ่ย "ตอนท่านมาที่นี่กับอาจารย์ของข้า ท่านได้เจออะไรที่แปลกๆ บ้างหรือเปล่าขอรับ?"
"ในดงหมอกนี่น่ะเหรอ?" ดอแรนหยีตา "เจ้าเจอปัญหาอะไรรึ?"
ด้วยไม่แน่ใจว่าจะอธิบายอย่างไร ยีจึงลุกขึ้นและส่ายศีรษะก่อนจะเหวี่ยงตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นแบกไว้บนไหล่ทั้งสองข้าง "ข้าแค่เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัย หมอกมันเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เรามาถึงที่นี่"
"อ้อ ไม่ต้องห่วงไปหรอก" ดอแรนตอบในขณะที่ปักดาบพลาซิเดียมลงในดิน "เดี๋ยวหมอกมันก็สลายไปเองล่ะ ขอแค่เราไปจากที่นี่ให้ทันก่อนหมอกจะกลับมาอีกครั้งก็ปลอดภัยแล้ว"
"หมอกจะสลายไปเหรอขอรับ? ทำไมล่ะ?"
"ในทุกๆ ปีจะมีวันหนึ่งที่หมอกพวกนี้จางไปหลังตะวันตกดิน มันก็คือวันนี้ แล้วก็ในตอนนี้ที่ตะวันตกดินนี่ล่ะ"
ในตอนนั้นเอง ยีสังเกตเห็นว่าอากาศคลายความเย็นไปแล้ว ในไม่ช้าหมอกก็คลายลงไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ
"นี่มัน—"
ดอแรนยกนิ้วหนึ่งขึ้นทาบบนริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ยีเงียบ ทันทีดวงอาทิตย์แตะยอดเขาซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป ทั้งหุบเขาก็ปรากฏชัดต่อสายตา ยียกมือขึ้นปิดปากและสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเมื่อได้เห็นภาพที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า
"ทำไมหมอกนี้ถึงสลายไป?" ดอแรนวางมือบนด้ามดาบพลาซิเดียม "บางทีพวกดวงวิญญาณที่นี่อาจจะกำลังฉลองช่วงเวลาตะวันตกดินอันยิ่งใหญ่ในคราวนั้น ย้อนกลับไปเมื่อหลายฤดูร้อนที่นานแสนนาน…"
ตลอด 15 ปีในชีวิตของเขา การต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดซึ่งยีเคยเห็นก็คือเมื่อตอนที่นายพรานคนหนึ่งต่อสู้กับหมูป่า นายพรานผู้นั้นเสียนิ้วไปหนึ่งข้างในขณะที่หมูป่าตัวนั้นต้องเสียหัวของมัน เท่าที่ยีรู้ ไอโอเนียเป็นดินแดนที่บริสุทธิ์ สงบสุขและสะท้อนถึงความกลมเกลียว แต่กระนั้น สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขากลับแผ่รัศมีชั่วร้าย มันผิดแปลกแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากไอโอเนียที่ยีรู้จัก
ดาบจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเสียบไว้ในดิน เริ่มตั้งแต่ระยะที่ห่างออกไปเพียงสิบก้าว เวิ้งมหาสมุทรแห่งอาวุธแผ่ไพศาลปกคลุมทั้งหุบเขาไปจนถึงด้านล่างของเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป ตรงกลางมีดาบเคลย์มอร์ขนาดใหญ่สิบเล่ม อันที่จริง หากเรียกว่าใหญ่คงไม่ตรง ดาบเหล่านั้นมีขนาดมโหฬาร ปลายดาบฝังอยู่ในผืนดิน ยีจึงไม่อาจรู้ขนาดที่แท้จริงของพวกมันได้ ลำพังด้ามดาบอย่างเดียวก็สูงเท่านักดาบวัยฉกรรจ์แล้ว และคมดาบในเฉพาะส่วนที่เห็นนั้นก็สูงเท่านักดาบสักเจ็ดหรือแปดคน ดั่งมหาเจดีย์แห่งวูจู
"ที่นี่คือสนามรบของศึกเมื่อครั้งโบราณ" ดอแรนตบไหล่ยี "พวกนักรบทิ้งอาวุธของพวกเขาไว้ที่นี่ พวกดวงวิญญาณคอยดูแลปกป้องอาวุธแต่ละชิ้นทุกชิ้นและช่วยไม่ให้มันถูกกาลเวลากัดกร่อนทำลาย หลายกัปกัลป์ผ่านไปและที่นี่ก็ได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนานไป ผู้ที่ปฏิญาณว่าจะไม่มีวันมีส่วนร่วมในสงครามอันโหดร้ายรุนแรงและนองเลือดอีกได้เริ่มพากันมาที่นี่เพื่อทิ้งอาวุธของพวกเขาไว้เช่นกัน"
ยีเหลียวมองไปโดยรอบ "ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสถานที่แบบนี้เลย…"
"เรื่องที่ข้าพูดถึงนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว อาวุธบางชิ้นอาจจะอยู่มานานกว่าบรรพบุรุษที่อายุมากที่สุดของเจ้าเสียอีก ตอนนี้ แทบไม่เหลือใครที่ยังจดจำธรรมเนียมนี้ได้แล้ว ส่วนคนที่ยังจดจำได้ ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่มาวุ่นวายรบดวนดวงวิญญาณเหล่านี้"
"ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมท่านถึงมาที่นี่ล่ะขอรับ อาจารย์ดอแรน?"
"เคยลือกันว่าดวงวิญญาณที่หมอกโปรยแห่งนี้สามารถมอบพรสำหรับการต่อสู้ให้อาวุธต่างๆ ได้ และในที่สุดเมื่อข้าเจอเส้นทางมาที่แห่งนี้ ข้าก็ค้นพบว่าความจริงนั้นมันตรงกันข้ามเลย การต่อสู้เมื่อครั้งโบราณได้ทำลายความสมดุลของที่แห่งนี้ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดวงวิญญาณในหุบเขานี้เกลียดชังความรุนแรง แม้ว่าพวกดวงวิญญาณจะมอบพรให้อาวุธ แต่พรนั้นจะสิ้นผลทันทีที่อาวุธนั้นถูกนำไปใช้ในการนองเลือด ช่างทำดาบส่วนใหญ่เลิกมาที่นี่กันหลังจากรู้ความจริงข้อนี้ ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงได้รับพรนั้นอยู่โดยไม่เสื่อมฤทธิ์ไป เจ้าพอจะรู้มั้ยว่าเพราะอะไร?"
ยีพยักหน้า "เพราะว่าท่านทำดาบให้นักดาบวูจูเท่านั้น และพวกเราชาววูจูยึดมั่นละเว้นจากการหลั่งเลือดและการสังหาร"
"ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ข้ายังยึดมั่นในวิถีแห่งวูจู ตลอดชีวิตของข้านั้น ข้าอยากสร้างดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปฐพี แต่ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ และมีเพียงแต่นักดาบวูจูเท่านั้นที่มองอาวุธในแบบเดียวกัน" ดอแรนบุ้ยใบ้ไปที่ตะกร้าไม้ไผ่บนหลังยี "เอ้า วางมันลงได้แล้ว"
ยีรีบปลดสัมภาระอันหนักอึ้งลงจากบ่าของเขาด้วยความยินดี
"วันนี้เราจะฝังดาบพวกนี้ไว้ที่นี่เพื่อรับพร รวมทั้งดาบที่ข้าทำให้เจ้าด้วย แล้วข้าจะเก็บพวกดาบที่ทิ้งไว้เมื่อครั้งก่อน"
ทั้งคู่เดินลึกเข้าไปในหุบเขา ในขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ใจกลางสนามรบมากขึ้นก็เห็นว่ามีอาวุธชนิดอื่นๆ ฝังไว้ในผืนดินด้วย ดาบบางเล่มมีรูปแบบเหมือนดาบดั้งเดิม แต่ทุกเล่มล้วนมีขนาดใหญ่หรือไม่ก็เล็กเกินไปสำหรับยี ส่วนพวกเล่มที่ขนาดเหมาะสำหรับยีนั้นก็มีรูปทรงในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ว่าใครกันที่จะใช้ดาบเหล่านี้
"ดูสิ! เรามาถึงแล้ว สวนของข้า!"
ดอแรนกำลังชี้ไปที่ดาบคมเดี่ยวที่มีด้ามดาบอันงดงาม อาวุธชิ้นนี้เหมาะกับนักดาบที่เป็นมนุษย์และดูใหม่กว่าดาบเล่มอื่นๆ ราวกับเพิ่งหลอมขึ้นมาเมื่อวานนี้
เมื่อสำรวจดูใกล้ขึ้น ยีจึงสังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น ยันต์กระดาษห้อยอยู่ตรงที่ด้ามดาบโดยมีด้ายแดงเส้นบางร้อยไว้ อันที่จริงมีดาบจำนวนไม่น้อยเลยในผืนดินที่มียันต์กระดาษแบบเดียวกัน เป็นเครื่องรางที่มักใช้สำหรับการภาวนาและขอพร นี่เป็นครั้งแรกที่ยีเห็นมันถูกนำมาผูกไว้กับอาวุธ
ดอแรนค่อยๆ ดึงดาบคมเดี่ยวเล่มนั้นขึ้นมาจากผืนดินด้วยความระมัดระวังและเอาเครื่องรางชิ้นนั้นออกไปก่อนจะบรรจงวางกระดาษลงบนพื้น หลังจากสำรวจดาบเล่มนั้นแล้ว เขาหันไปที่ดาบอีกเล่มหนึ่งซึ่งปักอยู่ในดินและทำตามขั้นตอนเดิมอีกครั้ง ราวกับชาวไร่ชาวนาที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตของเขา
คล้ายการย้ายต้นกล้าข้าว ยีรำพึง เขาพับแขนเสื้อและจับด้ามดาบเล่มยาวที่มีเครื่องรางคล้องไว้
"อย่าแตะเล่มนั้น!" ดอแรนตะโกน "เล่มนั้นน่ะช่างทำดาบคนอื่นเขาทิ้งไว้ มันอยู่ที่นั่นมานานสักพักแล้ว ปล่อยมันไว้ในดินนั่นล่ะ"
ยีปล่อยอาวุธนั้น แต่เขาบังเอิญไปคลายปมด้ายแดงที่ผูกยันต์นั้นไว้กับด้ามดาบ เขาเก็บยันต์กระดาษขึ้นมาอ่านข้อความภาษาไอโอเนียที่เขียนไว้บนนั้น เป็นกวีที่เรียบง่าย
สายฟ้าดังกึกก้องในฤดูใบไม้ผลิ
สายฝนโหมกระหน่ำในฤดูร้อน
ลมพายุตะวันออกในฤดูใบไม้ผลิ
หิมะโปรยปรายในฤดูหนาว
ยีย่นหน้าผาก "มันคืออะไร?"
ชายผู้สูงวัยกว่าเงยหน้ามองในขณะที่เขาเปิดตะกร้า "เป็นบทกวีที่ช่างทำดาบคนนั้นเขียนไว้ เจ้าคิดว่ายังไง?"
ยีพินิจละเอียดขึ้น ฝีมือการเขียนอักษรและประพันธ์บทกวีนั้นดีกว่าระดับทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นมันกลับเหมือนคำอวยพรมากกว่าบทกวี "ใช้ได้ แต่ว่าเขียนบทกวีไปทำไมขอรับ?"
"เราเขียนบทกวีเพื่อยกย่องให้เกียรติดวงวิญญาณ" ระหว่างที่เขาคุกเข่าลง ดอแรนจิบน้ำอึกใหญ่ก่อนจะล้วงกระเป๋าและหยิบพู่กันเขียนอักษรที่มีน้ำหมึกแห้งกรังเกาะเป็นคราบ เขาเอาพู่กันแตะลิ้น "ถ้าวิญญาณในวูจูเข้าใจบทกวีได้ แล้วทำไมวิญญาณที่นี่ถึงจะไม่เข้าใจล่ะ?" ดอแรนชี้ไปที่ยันต์เปล่าสามผืนบนพื้นตรงหน้า "ช่างทำดาบที่ขอให้ข้าเอาดาบของพวกเขามาทิ้งไว้ที่นี่จะเตรียมยันต์ของพวกเขาไว้ล่วงหน้า ข้าก็เลยแค่เขียนบทกวีสำหรับดาบของข้าเอง"
"อาจารย์ดอแรน ท่านจะเขียนบทกวีอย่างนั้นรึขอรับ? แปลว่าท่านก็ศึกษาพวกกวีนิพนธ์จริงๆ น่ะสิขอรับ?" ยีเดินไปหาดอแรนในขณะที่ผู้อาวุโสเริ่มลงมือเขียน "งั้นท่านก็หลอกข้าเล่นน่ะสิตอนที่บอกว่าไม่รู้จักเลยว่าปู๋ซีคือใคร"
ช่างอาวุโสส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ยี เขาสะบัดเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษด้วยลีลาอันเสรีและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในไม่ช้าก็เห็นบรรทัดตัวอักษรที่ยาวเหยียด
"ข้าขอดูหน่อย" ยีก้มลงอ่านออกเสียง "วันนี้ไร้สงคราม เพียงกินไข่เป็ดและจิบสุราตามให้คล่องคอ อร่อยยิ่งนัก—" เขาไม่อาจสะกดกลั้นความโมโหไว้ได้ "ดอแรน! อาจารย์! ท่านเขียนอะไรของท่านเนี่ย?"
ดอแรนลูบเคราของเขาด้วยความภาคภูมิใจ "เจ้าชอบรึเปล่า?"
"นี่มันไม่ใช่บทกวีด้วยซ้ำ!" ยีขยับมือไม้โวยวาย "มันไม่มีจังหวะจะโคน ไม่มีความคล้องจอง แต่ละวรรคก็ไม่เชื่อมโยงกัน แค่ฉันทลักษณ์พื้นฐานของบทกวีก็ยังไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ!"
"ส่วนที่สำคัญที่สุดของบทกวีก็คือความรู้สึก ไม่ใช่รูปแบบของมัน" ดอแรนยิ้มกว้างในขณะที่เอานิ้วจิ้มอกเขา "มันคือแก่นแนวคิดจากหัวใจ จังหวะกับความคล้องจองมันเป็นแค่ลีลาที่มาประดับประดาบทกวีเท่านั้นเอง"
ยีจ้องเขาด้วยความงุนงง "แต่—สิ่งที่ท่านเขียนเมื่อกี้ ความรู้สึกและแก่นแนวคิดมันอยู่ตรงไหนกัน?"
"นี่คือประสบการณ์ของข้าเกี่ยวกับสงคราม" ดอแรนจ้องยันต์ผืนนั้น "เมื่อเจ้ากลายเป็นคนแก่อย่างข้า ได้เจอเหตุนองเลือดและการสังหารมา เจ้าจะเข้าใจเองว่าทำไมการจิบสุราพร้อมกินไข่เป็ดถึงควรคู่สำหรับบทกวีและการยกย่อง"
ยีเลิกคิ้วและหันไปมองอาวุธชิ้นอื่นๆ ที่มียันต์แขวนไว้ ช่างทำดาบพวกนี้เขียนบทกวีด้วยหรือเปล่า?
เขาเดินไปที่ดาบอีกเล่มหนึ่งและอ่านยันต์ที่คล้องไว้ "ความหวาดกลัวและปีศาจที่ไม่รู้โรยแรง พร้อมด้วยความชั่วร้ายและเหล่าอธรรมที่ไร้สิ้นสุด…"
กวีบทนี้ถูกผูกไว้กับดาบพิธีการเล่มหนึ่งซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับการต่อสู้ เท่าที่อ่านจากวรรคนี้ ยีเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นของเจ้าหน้าที่ตุลาการหรือไม่ก็นักดาบพเนจร
ดอแรนซึ่งยังคงง่วนอยู่กับการประพันธ์ของเขาเหลือบมองชายหนุ่ม "อ๋อ นั่นมันของลาก้า นางมีชื่อเสียงโด่งดังที่พลาซิเดียม ดาบของนางน่ะแพงมากเลยทีเดียว"
ยีไม่เคยไปที่พลาซิเดียมแห่งนาโวริ แต่เคยได้ยินพวกพ่อค้าเรียกมันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะใหญ่กว่าวูจูเล็กน้อยล่ะมั้ง?
เขาขยับไปที่ดาบพิธีการอีกเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้ถูกใช้เป็นไม้เท้า กลิ่นหอมเย็นของสะระแหน่ที่มีสรรพคุณไล่แมลงลอยออกมาจากด้ามดาบที่ทำจากไม้สัก
ศรัทธาอันมืดบอดทำลายดวงจิต
ความจงรักภักดีอันมืดบอดทำลายชีวิต
เมื่อมีดของนักฆ่าปักลงผืนพสุธา
ผองทั้งปวงบาดเจ็บ ตัวตนถูกทำลาย
ยีอ่านบทกลอนนั้นไปได้เพียงครึ่งหนึ่งในตอนที่ดอแรนพูดขึ้นมา "นั่นคงจะเป็นมอร์ยา เขาชอบใช้วัสดุชั้นเลิศสำหรับพวกลูกค้าจอมงก ทั้งนักบวช พระแล้วก็คนจำพวกนั้น ยิ่งทำอาวุธไปก็มีแต่ยิ่งจนลง นี่เขายังติดเงินข้าอยู่เลย!"
ดอแรนใช้พู่กันของเขาชี้ไปที่จุดหนึ่งใกล้ยี "อ้อ จริงด้วย! ไปดูเล่มนั้นสิ! นั่นน่ะของดีนะ!"
ยีหมุนตัวไปและพบดาบที่ดอแรนชี้ให้ดู มันเป็นดาบคมเลื่อยเล่มใหญ่และมียันต์สีน้ำเงินใบจ้อยห้อยอยู่ตรงด้าม
ข้อความบนยันต์แผ่นนั้นเป็นภาษาต่างแดน ไม่มีคำไหนที่ยีอ่านออกเลยนอกจากลายเซ็นที่อยู่ด้านล่าง เลียร์ เป็นคำที่เขียนหวัดๆ ไว้เป็นภาษาไอโอเนีย
"เลียร์น่ะเป็นยอดอัจฉริยะ เขาอยู่ที่เกาะทางใต้ แถมยังเคยไปซอนด้วยนะ" ดอแรนพูด
"ซอน...อยู่ที่ไหน?"
"อย่าถามเลย"
หลังจากอ่านยันต์แผ่นแล้วแผ่นเล่า ยีก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา ดูเหมือนว่าทั่วทั้งหมอกโปรยแห่งนี้จะมีเพียงดอแรนเท่านั้นที่เขียนข้อความซึ่งไร้ความเป็นบทกวี
ยีหันไปหาผู้อาวุโส "อาจารย์ดอแรน งานเขียนของคนอื่นๆ อย่างน้อยก็มีลักษณะเชิงกวี แต่ท่านเป็นคนเดียวที่ละเลยไม่ใจ"
ดอแรนชะงักฝีแปรงพู่กัน "ละเลยไม่ใส่ใจงั้นรึ?"
"ความรู้สึกคือสิ่งสำคัญ แต่บทกวีนั้นมีพื้นฐานอยู่บนรูปแบบของมัน" ยีพูดด้วยท่าทีขึงขังจริงจังเป็นที่สุด "หากท่านจะเขียนบทกวี ก็ควรยึดขนบที่มี นี่คือพื้นฐานของการให้เกียรติและเคารพดวงวิญญาณ"
"น่าสนใจ" ดอแรนยิ้ม "อาจารย์ของเจ้าเคยพูดเรื่องเดียวกันนี้กับข้า… แล้วตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นหัวหน้าวูจูเลยด้วยซ้ำ"
"นั่นเพราะว่าเราต่างก็เป็นนักดาบวูจู" ยียืดอก "เป็นหน้าที่ของเราที่จะปกป้องวิถีดั้งเดิม ดังนั้น จึงนับเป็นหน้าที่ของข้าที่จะบอกท่านว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นั้นมันไม่ถูกต้อง" ยีมองไปรอบกาย "ไม่ บทกวีของท่านไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง การที่เรามาอยู่ที่นี่ต่างหาก นั่นล่ะปัญหา อาจารย์ดอแรน ท่านกำลังรบกวนดวงวิญญาณเหล่านี้เพราะความหวังที่แสนจะเห็นแก่ตัวว่าจะสร้างดาบที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม
"เป็นนักดาบวูจูทั้งคู่…" ดอแรนพยักหน้า "ที่จริงแล้วเจ้าเข้าใจวูจูมากน้อยแค่ไหนกันแน่?"
ในที่สุดความเดือดดาลยีก็ระอุถึงขีดสุด เขาซ่อนหมัดขวาที่กำแน่นไว้ด้านหลังและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไปด้วยความกราดเกรี้ยวที่ถูกข่มไว้
"จริงอยู่ที่ข้าเพิ่งฝึกได้ปีเดียวแล้วก็แทบจะไม่เข้าใจศาสตร์แห่งวูจู แต่ตัวท่านล่ะรู้อะไรบ้าง? ท่านอาจจะเป็นช่างทำอาวุธที่ได้รับการยกย่อง แต่ท่านไม่เคยฝึกฝนวิชาดาบเลยแม้สักวัน ใช่มั้ยล่ะ? ท่านเป็นใครถึงมาตั้งคำถามสงสัยว่าข้าเข้าใจดีหรือไม่ดียังไง?"
ดอแรนไม่ยี่หระแต่อย่างใด "หึ น่าสนใจจริงเชียว ทำไมข้าต้องเข้าใจวิชาดาบด้วยล่ะ? เจ้าต่างหากที่เป็นคนที่ควรจะต้องฝึกวิชาในวันนี้"
ยีแทบไม่เชื่อหูตัวเองและขยับไปข้างหน้าครึ่งก้าว "ฝึกวิชา? ท่านเอาแต่สั่งให้ข้าปีนภูเขา พัก แล้วก็ตามหาดาบเล่มโน้นเล่มนี้ แล้วนี่จะเริ่มฝึกวิชาเมื่อไรกันแน่?!"
ดอแรนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะวางพู่กันของเขาลงบนพื้นในที่สุด "อาจารย์ของเจ้าบอกข้าว่าความรู้ที่สำคัญที่สุดนั้นไม่อาจสอนด้วยคำพูด แต่ต้องรู้แจ้งด้วยตนเองเท่านั้น สถานที่แห่งนี้นี่ล่ะ ที่เมื่อหลายปีก่อนนั้น อาจารย์ของเจ้าได้พบคำตอบที่เขาเฝ้าตามหา"
เด็กหนุ่มยืนนิ่งทื่อ ช่างทำอาวุธกำลังพูดถึงหนึ่งในเสาหลักเจ็ดประการแห่งวูจูดอกไม้เฉาย่อมเบ่งบานยามต้องสายฝน เขารอให้ดอแรนพูดต่อ
"ข้าไม่รู้ว่านักดาบวูจูฝึกวิชากันอย่างไร เพราะเหตุนี้ ข้าจึงถามไปว่าในตอนนี้เจ้าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน" ดอแรนหยุดชั่วครู่ "หรือที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย?"
ยีเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยรู้สึกอับอาย "ข้าขออภัยขอรับอาจารย์ดอแรน อาจารย์หูหรงเล่าให้ท่านฟังหรือเปล่าว่าเขาบรรลุการรู้แจ้งได้อย่างไร?"
"ข้าไม่ได้ถาม แต่ว่าในตอนนั้นเขาเขียนกวีบทหนึ่งทิ้งไว้" ดอแรนชี้ไปด้านหลังยี ตรงจุดที่มีดาบยักษ์เล่มหนึ่งปักตระหง่านอยู่บนสนามรบ "อยู่ที่ดาบเล่มนั้น ตรงโน้นแน่ะ"
ยีเดินไปที่ดาบยักษ์เล่มนั้นด้วยความลังเล ดาบใหญ่เล่มนั้นมีทั้งรอยบิ่นและรอยร้าว มันเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้… แต่กระนั้น ขนาดที่ใหญ่เหลือเชื่อของมันทำให้คมของดาบไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเท่าใดนัก
เนื่องจากมองไม่เห็นบทกวีใด ยีจึงเดินต่อไปอีกสองสามก้าวทางด้านข้างเพื่อไล่ดูให้ชัดขึ้น และแล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าใบมีดของดาบเล่มนั้นส่องประกาย ดูเหมือนว่าดาบเล่มนี้จะทำจากแก้วสักชนิดหนึ่ง ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ยีจึงยื่นมือออกไปแตะเบาๆ ที่ประกายแสงระยิบระยับที่สะท้อนออกมา
เขากะพริบตา
เสียงฟ้าลั่นครืนคำรามสะท้านไปทั้งหุบเขาในขณะที่ดาบมโหฬารเล่มนั้นถูกชักขึ้นมาจากพื้นดิน
ยีก้าวถอยหลังด้วยความอึ้งตะลึง ยักษ์สิบตนยืนอยู่ตรงหน้าเขาแต่ละรายมีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ พวกมันสวมชุดเกราะสีทองและหมวกเกราะรูปทรงประหลาด ตรงจุดที่ควรเป็นดวงตากลับมีลูกกลมสีแดงเจิดจ้าสองดวงที่ส่องแสงเรืองอันน่าสะพรึงออกมา ดาบเล่มยักษ์ของพวกมันสะท้อนลำแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับ พวกมันร่างสูงตระหง่านดูน่าเกรงจามดั่งเทพเจ้าที่ลงมาจากสรวงสรรค์
ไกลออกไปตรงเนินเขา ยักษ์อีกห้าสิบตนกำลังเดินหน้ามาช้าๆ พวกมันหยุดและยืนนิ่งราวกับกำลังรอคำบัญชาพร้อมอาวุธขนาดมหึมาที่ถือไว้ในมือ
เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านหลัง ยีหันไปมองและพบกับใบหน้ามากมายที่เรียงราย
ในตอนแรก ใบหน้าเหล่านั้นดูคุ้นตา เป็นใบหน้าของชาวหมู่บ้านวูจู เพียงแค่ว่ามันดูมัวซัวไม่ชัดเจน และเริ่มไหลละลายราวกับสีน้ำที่โดนสายฝนชะ
แต่แล้วรูปลักษณ์ของพวกมันกลับชัดเจนขึ้นมา และยีก็ตระหนักความจริงว่าพวกมันไม่เหมือนผู้คนกลุ่มใดที่เขาเคยเจอมาก่อนเลย พวกมันมีขนนกปกคลุมทั่วแผ่นหลัง หรือไม่ก็มีแค่สามนิ้ว หรือไม่ก็มีผิวสีเขียว พวกมันตัวสูงและมีรูปร่างกำยำ บ้างก็สวมอาภรณ์หลากสีสัน บ้างก็มีเกล็ดวาววับปกคลุมร่างระหง
เขายืนนิ่งตะลึง "พวก—พวกมันคืออะไร?" เขาถามเสียงแผ่ว
ยีไม่รู้เลยว่าดวงวิญญาณที่ดูคล้ายดอแรนมาอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อใด แต่ทว่าเขาอยู่ตรงนั้นและตอบเสียงเย็นในขณะที่ดวงตาสีแดงเข้มของเขาจ้องเขม็ง "เจ้าเรียกพวกเขา—เจ้าเรียกพวกเรา—ว่าวาสทาญ่าชา’เร"
ยีไม่เคยได้ยินชื่อที่ยาวเฟื้อยและฟังยากเช่นนี้มาก่อน เขามองวิญญาณนั้นซึ่งประดับกายด้วยอาภรณ์ซึ่งทำให้เขาดูดั่งนกกะเรียนที่ยืนสองขา
วิญญาณนั้นพยักเพยิดไปทางวาสทาญ่าชา’เร "เราคือผู้ครองชัยในการต่อสู้ครั้งนี้"
สายตายีจับจ้องกองทัพยักษ์ "ท่านเอาชนะอสุรกายพวกนี้ได้ยังไงกัน?"
วิญญาณนั้นไม่ตอบแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสสิบราย—หรืออะไรก็ตามที่ยีเข้าใจว่าเป็นผู้อาวุโสในกลุ่มสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดนี้—ได้ก้าวออกมาจากแถวของกลุ่มชาววาสทาญ่าชา’เร หญิงอาวุโสผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านหน้าและวางฝ่ามือของนางลงบนอีกข้างหนึ่งก่อนจะชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ นางใช้มือทั้งสองข้างกระแทกพื้น และทั้งหุบเขาก็สั่นสะเทือนพร้อมเกิดรอยแยกที่ฉีกไล่ไปทางยักษ์กลุ่มนั้น เกิดหุบเหวลึกกั้นตรงกลางระหว่างกองทัพทั้งสองไว้
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสอีกเก้ารายได้เสกร่ายพลังเวทของพวกเขา บางคนเริ่มขยับท่าร่ายรำ ในขณะที่บางคนลงนั่งขัดสมาธิ สายลมพัดหวัดหวิวและหมู่เมฆดำทะมึนดั่งลางร้ายได้ก่อตัวขึ้นเหนือสนามรบ ฟ้าคำรามลั่นพร้อมสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่สว่างวาบขึ้นบนผืนนภา ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงขอบรอยแยกนั้นและเสกเถาวัลย์มหาศาลให้เลื้อยแทงพื้นพสุธาขึ้นมาและร้อยกระหวัดพันเกี่ยวเป็นกำแพงที่มีความสูงเท่านักดาบหกคนได้
พลังควบคุมสรรพธาตุเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เพียงแต่ร่ำลือกันในตำนาน ยีรู้ดีว่าเขาอยู่ในภาพนิมิต แต่ก็อดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้
"ตอนนี้เจ้ามองเห็นอะไร?" วิญญาณนั้นถาม "นี่ใช่ความแข็งแกร่งหรือเปล่า?"
ยีพยักหน้า "ขอรับ มันคือความแข็งแกร่ง"
"แต่ว่าเราไม่มีทั้งเกราะทนทานหรืออาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้วเราก็ไม่ได้กู่ร้องตะโกนก้องด้วยดวงจิตที่ฮึกเหิมดั่งกองทัพกระหายเลือด เจ้ามองเห็นความแข็งแกร่งในที่ใด?"
"พวกท่านเสกเรียกลมและพายุ และแหวกผืนพสุธาให้แยกออก หากนั่นไม่ใช่ความแข็งแกร่งแล้วจะเรียกว่าอะไร?"
วิญญาณนั้นชี้ไปที่หมู่ยักษ์ "ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่าจะต่อสู้ชนะอสุรกายเหล่านี้ได้อย่างไร ที่จริงคำถามควรจะเป็นว่ายักษ์พวกนี้จะต่อสู้กับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างดินแดนแห่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไรมากกว่า?"
อสุรกายร่างยักษ์ไม่หวั่นเกรงวิชาเวทมนตร์อันทรงพลังของเหล่าวาสทาญ่าชา’เรแต่อย่างใด พวกมันเงยหน้าและเปล่งเสียงโห่ร้องด้วยความปีติ ยักษ์สิบตนที่เป็นผู้นำพากันชูดาบมหึมาของพวกมันและบุกโจมตี ขนาดร่างอันมหาศาลทำให้พวกมันดูดั่งขุนเขาที่กำลังพุ่งเข้าชนเหล่าวาสทาญ่าชา’เร
แต่ทว่าชาววาสทาญ่าชา’เรไม่หวั่นสะท้านแต่อย่างใด เหล่าผู้อาวุโสเดินหน้าโดยมีแถวเรียงรายตามมาด้านหลัง บางคนโน้มกายลงก่อนดีดตัวพุ่งไปด้านหน้าและแปลงร่างเป็นวัลโกดัลก์ สแนปเปอร์เกล็ดและหมาป่า สัตว์เหล่านี้วิ่งผ่านยีไป คนอื่นๆ เหินสู่ผืนเวหาและแปลงร่างเป็นสัตว์ปีกในขณะที่ทะยานแหวกอากาศดั่งลูกธนู ภายในพริบตา ชาววาสทาญ่าชา’เรได้กลายเป็นฝูงที่ไล่ล่าเหยื่อของพวกเขา
ยักษ์พวกนั้นเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วอย่างน่าประหลาดใจ พวกมันกระโดดข้ามรอยแยกและทำลายกำแพงเถาวัลย์ที่อยู่ถัดมาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นจึงพุ่งตรงเข้าปะทะฝูงสัตว์เหล่านั้น
แต่ละตนกวัดแกว่งดาบด้วยพละกำลังที่ไม่อาจมีผู้ใดหยุดยั้ง ผู้นำเหล่านักรบปักษาทยอยถูกโค่นล้มลงไป แต่พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกเขาไม่ประหวั่นย่นย่อ พวกเขากระพือปีกและเสกพายุดาบมนตราถล่มใส่ศัตรูที่เจาะพื้นที่ว่างระหว่างชิ้นเกราะของพวกเขาจนเห็นเส้นสีแดงฉานตื้นๆ ธรรมดาแล้ว การโจมตีเช่นนี้ย่อมสามารถสะบั้นร่างศัตรูให้ขาดเป็นสองท่อนได้ แต่ทว่ามันกลับแทบไม่ได้ทำให้ยักษ์เหล่านี้ช้าลงเลย
กองกำลังภาคพื้นดินของชาววาสทาญ่าชา’เรไร้ซึ่งความครั่นคร้ามเกรงกลัวเช่นกัน สแนปเปอร์เกล็ดหลายตัวพุ่งเข้าโจมตีพวกยักษ์และใช้ร่างอันใหญ่โตกระแทกพวกมันให้ล้มลงในขณะที่เหล่าวัลโกดัลก์ทะลวงร่างศัตรูของพวกมันด้วยเขาและฟันที่คมกริบดั่งคมมีด
ต้นไม้ขนาดมโหฬารมากมายถูกกระชากขึ้นมาจากพื้นดินและมีปลายคมดั่งหลาวไม้ กิ่งก้านของมันเหวี่ยงสะบัดฟาดดั่งแส้ เสียงฟ้าร้องดังก้อง และสายฟ้าฟาดซัดลงมาด้วยความพิโรธแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์จนเกิดเป็นหลุมใหญ่หลายหลุมบนพื้นดิน แต่ภาพของพลังมหาวินาศก็ไม่ได้ทำให้พวกยักษ์หวั่นเกรงแต่อย่างใด ในขณะที่เถาวัลย์พันรัดเท้าพวกมันและเหล่าสัตว์ร้ายตะกายโจมตีจากด้านบน อีกทั้งมียักษ์บางตนที่ถูกโจมตีจนกายทรุดและสิ้นชีพ แต่พวกมันก็ยังเดินหน้าบุกต่อสู้และกู่ร้อง พวกมันดูเหมือนจะยิ่งฮึกเหิมรุกหนักหน่วงขึ้นและย่ำไปบนศพนับไม่ถ้วนในขณะที่แหวกตะลุยฝ่ากองทัพสัตว์เหล่านี้
กลิ่นเลือดคละคลุ้งในอากาศ กลิ่นสาบคาวให้ความรู้สึกเหมือนจริง
ในตอนนั้นเอง ยักษ์ตนหนึ่งสังเกตเห็นยียืนอยู่ ดวงตาของมันลุกวาวดั่งเปลวเพลิงและมุ่งหน้าตรงมาที่เขา นักดาบหนุ่มตกใจและก้าวถอยหลังตั้งท่าเตรียมป้องกันตัว
ในขณะที่ยักษ์ตนนั้นรุกเข้ามาใกล้ วิญญาณก็วางมือของเขาลงบนปลอกดาบของยี
"สายลมและสายฝน ฟ้าร้องและฟ้าแลบ หิมะถล่ม แม้แต่ร่างกายเองนั้น ต่างล้วนเป็นเพียงรูปแบบ หากเจ้าค้นพบแก่นแท้ของมัน รูปแบบทั้งหมดก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ซึ่งนั่นรวมถึงการมอบพลังให้ดาบของเจ้าด้วย"
ในขณะที่วิญญาณกำลังพูด ก้าวเดินของยักษ์ตนนั้นได้ช้าลงเช่นเดียวกับการจู่โจมของเหล่าวาสทาญ่าชา’เร แม้แต่สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบก็ยังขยับเคลื่อนเชื่องช้าพร้อมๆ กับที่ทุกสิ่งรอบกายยีชะลอลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง
ความตระหนักรู้ผุดวาบขึ้นมาในทันใด "ท่านหมายความว่า—"
"วิถีวูจู" วิญญาณนั้นพยักหน้า "วิถีวูจูจะดึงเอาพลังมาจากโลกแห่งวิญญาณ นั่นเป็นวิธีที่ชาววาสทาญ่าชา’เรใช้เพื่อแปลงรูปกายของพวกเขา และควบคุมสรรพธาตุ ความแตกต่างประการเดียวก็คือระดับของพลังที่ใช้ ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดค้นวิถีวูจู แต่คงจะต้องเป็นนักเวทที่มากฝีมือทีเดียว"
"เป็นไปไม่ได้!" ยีอุทาน "พวกเราเป็นนักดาบ ไม่ใช่นักเวท"
"รูปแบบ! มันไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่านักเวท นักบวชหรือพระ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบที่รับเอามา" วิญญาณนั้นพูดด้วยความหงุดหงิด "หัวใจของวูจูคือเวทมนตร์ หัวใจของสำนักวูจูคือผู้ที่ใช้พลังเวท ทุกกระบวนท่าต่อสู้ ทุกบทกวี ทุกการภาวนาสมาธิที่เจ้าได้ศึกษาล้วนดำรงอยู่เพื่อพลังเวทมนตร์นี้"
ยีอยากจะแย้งปฏิเสธวิญญาณนั้นว่าความแม่นยำในรูปแบบถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของวูจู! แต่เขานึกขึ้นมาได้ในตอนนั้นว่านี่ไม่ใช่การโต้วาที เห็นได้ชัดวิญญาณนี้กำลังนำพาเขาไปบนเส้นทางแห่งศาสตร์วูจู นี่จะต้องเป็นการฝึกวิชาที่อาจารย์ของเขาพูดถึงเป็นแน่แท้!
"ถ้าเช่นนั้นข้าจะใช้พลังเวทนี้ได้อย่างไร?" ยีถาม "ข้าไม่มีปัญหาเรื่องวิชาดาบและการทำสมาธิของข้า แต่ว่าทำไมข้าถึงไม่อาจดึงพลังจากโลกแห่งวิญญาณมาใช้ได้"
"ปัญหาก็อยู่ตรงที่วิชาดาบกับการทำสมาธิของเจ้านั่นล่ะ"
วิญญาณนั้นจับด้ามดาบของยีและชักดาบที่ไร้คมออกมากวัดแกว่งร่ายรำกระบวนท่าด้วยลีลาอันสง่างามเฉกเช่นปรมาจารย์ ยีคิดเอาว่าเขาคงจะสาธิตให้ดูสักสองสามท่า แต่กลายเป็นว่าดวงวิญญาณหักดาบเป็นสองท่อนและโยนมันทิ้งพื้น
"ดาบเล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่ครองพลังเวท หากแต่เป็นเจ้า การมุ่งเน้นวิชาดาบและการฝึกสมาธิมากเกินไปเท่ากับว่าเจ้ากำลังพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รูปแบบอันไร้ประโยชน์เหล่านี้ นี่ล่ะคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเจ้าจึงขาดสัญชาตญาณที่นักดาบวูจูทุกรายควรมี"
"ข้าไม่เข้าใจ"
"จงลืมดาบ จงลืมศัตรู จงลืมคำสอนทั้งมวลของอาจารย์เจ้า" วิญญาณนั้นเอ่ย "แม้แต่ในชั่วขณะที่สัมผัสเชื่อมโยงกับโลกแห่งวิญญาณ จงลืมไปเสียว่าเจ้ากำลังทำสมาธิอยู่ เลิกสงสัยว่าแต่ละการเคลื่อนไหวของเจ้าถูกหรือผิด"
ทันใดนั้น การต่อสู้กลับคืนสู่ความโกลาหลอีกครั้ง ยักษ์ตนนั้นเร่งความเร็วในขณะที่สาวเท้ามาหายีอีกครั้งพร้อมเงื้อดาบในมือขึ้น และตัวยีนั้นไม่มีอะไรนอกจากปลอกดาบไม้เพื่อใช้ปกป้องตนเอง
"ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว" วิญญาณนั้นก้าวถอยหลัง "จงถามตัวเจ้าเองว่าเจ้าจะเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งเหนือกว่าเจ้าหลายขุมนักได้อย่างไร?"
ยียกปลอกดาบขึ้นมาประหนึ่งว่ามันคือดาบเล่มหนึ่งและตั้งท่าพร้อมกับสูดลมหายใจสั้นๆ หลายครั้ง
ก้าวเดินของยักษ์ตนนั้นทำให้ผืนดินสะเทือน นี่เป็นเพียงภาพนิมิต ยีเตือนตนเอง แต่กระนั้นเขายังคงแทบไม่อาจควบคุมลมหายใจให้ราบเรียบได้
เขารู้สึกว่าพลังเวทมนตร์ของโลกแห่งวิญญาณที่ถาโถมรอบกาย ราวกับแม่น้ำที่ซัดโหม ในอดีตเมื่อครั้งที่พยายามดึงพลังถ่ายเข้าสู่ดาบของเขา มันกลับหลบลี้เขา
แต่กระนั้น ดาบเป็นเพียงรูปแบบ ปลอกดาบก็เช่นกัน
ตัวข้าก็เช่นกัน
ข้าจะเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งเหนือกว่าข้าหลายขุมนักได้อย่างไร?
ด้วยการกลายเป็นแม่น้ำ
อสุรกายตนนั้นเหวี่ยงดาบของมันฟาดด้วยพละกำลังมหาศาล
แทบจะด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ ยียกปลอกดาบของเขาขึ้นเพื่อสกัดการโจมตีนั้น ในขณะที่ปลอกดาบปะทะกับดาบที่ฟาดลงมา แรงกระแทกทำให้ทั้งร่างของเขาสั่น แต่กระนั้นยีก็ยังคงยืนอยู่ได้ นอกจากจะต้านแรงปะทะไหวแล้ว ปลอกดาบไม้ที่เปราะบางของเขายังสามารถทำให้อาวุธชิ้นมหึมาของยักษ์ตนนั้นบิ่นได้ด้วย
ยีรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาและเปลี่ยนกระบวนท่าโดยเหวี่ยงฟาดปลอกดาบนั้นออกไปเป็นแนวทแยงใส่ดาบของศัตรูจนเป็นรอยบากลึก ยักษ์ตนนั้นแสดงอาการลังเลก่อนจะดึงอาวุธของมันกลับมาสำรวจ เมื่อเห็นว่าดาบของตนเสียหาย มันก็ร้องคำรามออกมาด้วยความเดือดดาลและประหลาดใจ ลูกดวงไฟในดวงตาของมันหรี่แสงสลัวลงไปภายใต้หมวกเกราะที่สวมไว้
ยีเองก็ไม่อาจเชื่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เขาใช้นิ้วชี้ลูบด้านข้างของปลอกดาบอย่างแผ่วเบา มันไม่มีรอยร้าวหรือสะเก็ดเสี้ยนเลยแม้สักนิด แต่ทว่ามันกลับบาดปลายนิ้วเขาราวกับมีคมมีดที่คมกริบ
"เจ้ารู้สึกถึงมันหรือเปล่า?" วิญญาณนั้นก้าวขึ้นมาและคว้ามือขึ้นมาชูนิ้วที่มีเลือดไหล "พลังนี้ที่อยู่ใต้บงการของเจ้า?"
เขาพยักหน้า
"จำความรู้สึกนี้ไว้ และส่งมันจากใต้ฝ่าเท้าเจ้าไปสู่เป้าหมายของเจ้า" วิญญาณนั้นชี้ไปที่ยักษ์ตนนั้น "โจมตีด้วยหัวใจของเจ้าและร่างของเจ้า ไม่ใช่ดาบของเจ้า"
แม้ว่าวิญญาณจะยังคงใช้ภาษาที่สื่อถึงรูปแบบ แต่ตอนนี้ยีเข้าใจแล้ว
วิญญาณก้าวถอยไปในจังหวะเดียวกับที่ยักษ์ตนนั้นโจมตีอีกครั้ง ในคราวนี้ มันย่อเข่าลงและกวาดดาบเรี่ยพื้นราวกับเคียวที่เกี่ยวตัดพืชผล
ตอนนี้ ยีตั้งใจจดจ่อเต็มที่ เขากลั้นลมหายใจ ย่อเข่าลงข้างหนึ่งและชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะและใช้ปลอกดาบเป็นเครื่องป้องกันลำตัวท่อนบน เขาไม่เคยเข้าใจจุดมุ่งหมายของท่านี้เลยในระหว่างที่ฝึกวิชา แต่ทว่าตอนนี้ผ้าม่านได้ถูกยกออกและเผยให้เขาประจักษ์ชัดแจ้ง
ในจังหวะที่ดาบของยักษ์ตนนั้นกำลังจะฟาดโดน ยีดีดตัวลุกขึ้นพร้อมถืออาวุธไว้เบื้องหน้า เขาพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วแรงดุจดั่งสึนามิเข้าปะทะการโจมตีของยักษ์ตนนั้น สะบัดปลอกดาบฟันใส่ดาบของมัน
ในตอนที่ยีจบกระบวนท่าและเก็บอาวุธของเขา ดาบครึ่งที่หักของยักษ์ตนนั้นได้ร่วงลงสู่ผืนดินราวกับว่าวที่หลุดขาดจากเชือก
ยักษ์ตนนั้นเสียหลักและล้มลงกระแทกพื้น ในจังหวะที่มันกำลังจะลุกขึ้นยืน สายฟ้าได้ฟาดเปรี้ยงใส่หลังมัน และชาววาสทาญ่าชา’เรนับสิบๆ ได้กรูกันมาล้อมรอบยักษ์ตนนั้น ดวงตาของมันฉายแววกราดเกรี้ยว… และหวาดกลัว
ยีจ้องมือของเขาและส่ายหน้าด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ "ข้ารู้สึกเหมือนว่าสามารถแหวกผ่าภูเขาได้!"
วิญญาณนั้นพยักหน้า "ไม่มีเกราะใดสามารถต้านทานการโจมตีของนักดาบวูจูได้ ตราบเท่าที่เจ้าดึงพลังออกมาได้มากพอ เจ้าย่อมสามารถผ่าแหวกภูเขา ป่าหรือแม้แต่โลกทั้งใบได้จริง"
ยีตื่นเต้นมากเสียจนกำหมัดแน่นและแทบจะกระโดดโลดเต้น เมื่อเห็นดังนั้น วิญญาณรีบกระแอม "แต่จำไว้ว่าทั้งหมดนี้คือภาพนิมิต"
"เอิ่ม ขอรับ ใช่แล้ว" ยีขมวดคิ้ว เป็นเรื่องแปลกแท้ๆ ที่วิญญาณพูดจาอะไรแบบนี้
"พลังที่มนุษย์สามารถดึงมาจากโลกแห่งวิญญาณได้นั้นมีขีดจำกัด ดังนั้น…" รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวิญญาณ "หากเจ้าพบคู่ต่อสู้เช่นนี้จริง ข้าขอแนะนำให้เจ้าวิ่งหนีไปซะ เจ้าอาจจะไม่สามารถเฉือนแม้แต่นิ้วเท้าได้ด้วยซ้ำไป"
"แน่นอนที่สุดขอรับ" ยีลูบด้านหลังศีรษะตนเอง "ข้าเข้าใจ" นอกจากนั้น บาฮร์ลยังเป็นดินแดนอันสงบสุข เขาคงไม่จำเป็นต้องฟันร่างศัตรูเช่นนั้น
"ข้าได้เห็นศิษย์วูจูมาก็มา แต่เจ้าเป็นคนที่โดดเด่น อย่าเสียเวลาของชีวิตเจ้าไปกับการไล่ตามเป้าหมายที่ไร้ประโยชน์" วิญญาณนั้นวางมือทั้งสองข้างเขาลงบนไหล่ของยีเบาๆ และพินิจมองเขา "ข้าจะสอนอย่างอื่นให้เจ้าเอง หากเจ้าต้องการเช่นนั้น
ยีตาเป็นประกาย "ตกลงขอรับ!"
"เจ้าเติบโตขึ้นมาในบาฮร์ล ดังนั้น—"
ยีกลับมาที่หมอกโปรยในทันใด เขาจ้องดาบเล่มยักษ์ที่ปักอยู่ในผืนดิน
เขาเปียกปอนเพราะน้ำจากในถุงหนังที่ดอแรนสาดใส่ใบหน้าของเขา
"ข้าเขย่าตัวเจ้าไปตั้งสองสามรอบ แต่มันไม่ได้ผล ก็เลยต้องหันมาใช้วิธีนี้แทน" ดอแรนยิ้มในขณะที่ยื่นถุงหนังใบนั้นให้ยี "เอ้า ดื่มซะ จะได้รู้สึกดีขึ้น"
ยีเงยหน้ามองท้องฟ้าและถอนหายใจยาว "ให้ตายเถอะ! อาจารย์! รอนานกว่านี้อีกสักหน่อยไม่ได้เหรอขอรับ?!"
"โอ้?" ดอแรนเอ่ย "เจ้ากำลังจะฆ่ายักษ์หรือว่ายังไงกัน?"
"ข้ากำลังจะเรียน …" ยีชะงัก "เดี๋ยว! อาจารย์ดอแรน ท่าน—ท่านก็เห็นภาพนิมิตนั้นเหมือนกันใช่ไหมขอรับ? การต่อสู้กับพวกยักษ์?"
"ข้าได้ยินอาจารย์เจ้าพูดถึงเรื่องนั้น ดูเหมือนจะมีแต่นักดาบวูจูเท่านั้นที่พบเจอภาพนิมิตแบบนั้นในสถานที่แห่งนี้" ดอแรนโน้มตัวมาข้างหน้า "เจ้าดูเหมือนตื่นเต้นนะ ท่าทางจะค้นพบอะไรบางอย่างละมั้งเนี่ย?"
ยีก้มลงจ้องปลอกดาบของเขาและชักดาบที่ไร้คมของเขาออกมา เขายืนอยู่เบื้องหน้าดาบเล่มมหึมา หลับตาและสูดลมหายใจลึกด้วยความตั้งมั่นดั่งนักบวชที่กำลังสวดภาวนา หลังจากผ่านไปสักพัก เขาชูดาบขึ้นและเหวี่ยงสะบัด พลังเวทมนตร์แล่นไปทั่วดาบ พลังของเขาแข็งแกร่งมากจนถึงขั้นสามารถผ่าดาบของยักษ์ตนนั้นได้ มีเพียงเศษชิ้นหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในพื้นดิน
ดอแรนสูดลมหายใจเฮือก "โอ้โห!"
"เป็นอย่างไรบ้าง?" รอยยิ้มที่เกือบดูเหมือนกระหยิ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยี
"เจ้าไปคุยกับใครมา?" ดอแรนถามและเลิกคิ้ว
ยีกำลังจะตอบว่าเป็นวิญญาณที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขา แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา "อาจารย์ดอแรน! ข้าขอยืมพู่กันของท่านหน่อยได้ไหมขอรับ?"
ดอแรนหันไปหยิบพู่กันชุ่มน้ำหมึกและยื่นส่งให้ยี "ทำไม? เจ้าจะเขียนบทกวีเกี่ยวกับความรู้สึกเหมือนที่อาจารย์เจ้าทำงั้นรึ?"
ยีคะเนน้ำหนักของพู่กันในมือทั้งสองข้างก่อนจะหันกลับไปที่ซากดาบของยักษ์ที่อยู่ในพื้นดิน ก่อนที่เขาจะเริ่มเขียน เขาใช้ฝ่ามือลูบมันและเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นรอยหมึก สายลมและสายฝนจะลบร่องรอยทั้งหมดของอักษรใดๆ ก็ตามที่ใครเขียนไว้ตรงนี้ แต่ไม่เป็นไร สิ่งที่เขาเขียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่ได้มีไว้สำหรับสายตาของผู้มาเยือนคนอื่นอยู่แล้ว
"บทกวีที่อาจารย์ของข้าเขียนไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเขา" ยีพูดในขณะที่จรดพู่กันเขียนคำแรก "มันเกี่ยวกับความรู้คุณของเขา"
กว่าที่ยีจะเขียนเสร็จ ดอแรนก็เก็บพวกดาบใส่ตะกร้าไม้ไผ่เรียบร้อยแล้วและกำลังจะยกตะกร้าขึ้นสะพายบนบ่า ยีรีบปราดไปจะรับสัมภาระนั้นมาแบกไว้เอง แต่ดอแรนห้ามเขาไว้
"ข้าจะแบกเอง แล้วการฝึกวิชาในวันนี้ของเจ้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว"
ยีพยักหน้า เขามองพวกดาบที่ดอแรนทิ้งไว้ที่นี่เพื่อรับพร
"อาจารย์ เล่มไหนคือดาบของข้าเหรอขอรับ?"
"ไม่มี ดาบเล่มที่ข้าทำไว้ให้เจ้าน่ะจะยกให้ศิษย์รุ่นน้องแทน"
"ว่าไงนะขอรับ?" ยีไม่อยากจะเชื่อ "รุ่นน้อง? คนไหนขอรับ?"
ดอแรนพ่นลมหายใจพรืดก่อนหมุนตัวและออกเดินไปโดยทิ้งยีไว้ข้างหลัง
ยีวิ่งตามไป "แต่ว่าทำไมล่ะขอรับอาจารย์?"
ช่างทำอาวุธวัยชราถอนหายใจด้วยความงงงวยและพึมพำคำพูดที่มีแค่เขาคนเดียวได้ยิน
"มันไม่คู่ควรกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าหนู"