Scroll to Begin
“นึกยังไงถึงส่งพวกเราออกมาไกลถึงนี่กันนะ?” ทหารที่กำลังยืนกอดอกพิงผนังของเรือนกำแพงเอ่ยขึ้น “ถนนของมหานครมีเลือดนองเต็มไปหมด แต่พวกเราดันถูกส่งมาที่ชายแดนงั้นเหรอ?”
นามของเขาคือแบ็คเคอร์ และซิเธรียก็ไม่เคยใส่ใจจะปลอบขวัญอะไรเขาหรอก—หมอนี่เป็นพวกที่เอะอะนิดหน่อยก็มองเห็นแต่เรื่องร้าย ๆ ได้ในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของเขาพอจะมีส่วนที่ถูกอยู่บ้างก็เถอะ
พวกสหายร่วมรบที่เหลือยืนอยู่ไม่ไกลนัก ไม่มีใครสักคนที่ดูพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
ซิเธรียยังคงนิ่งเงียบ เธอเป็นคนท่อายุน้อยที่สุดในหมู่ทหารของเดมาเซียเหล่านี้ แม้ว่าตามจริงแล้วเธอจะยังเป็นแค่เด็กใหม่ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบก็เถอะ ตลอดปีที่ผ่านมาท่ามกลางทหารเหล่านี้ เธอได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นกำลังรบที่มีความสามารถ และเป็นผู้ที่มีเชิงดาบว่องไวที่สุด กระนั้นมันก็มีหลายครั้งเหมือนกัน—ในช่วงเวลาที่อยู่กับคนพวกนี้—ที่เธอจะรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเกินตัวและไม่ค่อยจะมั่นใจในตัวเองนัก
เธอสวมเสื้อเกราะเต็มตัวที่เรืองรองเช่นกันกับคนอื่น ๆ โล่ถูกสะพายพาดอยู่บนหลัง หมวกเกราะถูกหนีบเอาไว้ใต้วงแขน ปล่อยให้เรือนผมสีเข้มที่ถูกถักเป็นเปียยาวทิ้งตัวอย่างอิสระ
เหล่าทหารกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าประตูเทาอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งยืนหยัดปกป้องพิทักษ์ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเดมาเซียอยู่ ชื่อของมันช่างดูผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงนัก เนื่องจากตัวป้อมปราการทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากศิลาสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็พอจะเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่านามของมันนั้นได้มาจากหน้าผาหินสีเทาที่อยู่ใกล้ ๆ กระนั้น พวกทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาจากทางใต้หรือแถวชายฝั่งแห่งเดมาเซียก็มักจะบ่นกันระงมว่าชื่อดังกล่าวคงจะมาจากท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบอึมครึมอยู่ตลอดเวลาของดินแดนทางเหนือนี่มากกว่า
ทั้งสองฟากของประตูหอคอยคือแนวกำแพงที่เหยียดยาวสูงตระหง่าน ธงสามเหลี่ยมโบกสะบัดเป็นลอนคลื่นในสายลม เหล่าทหารยามเฝ้าสังเกตการณ์ด้านทิศตะวันออกท่ามกลางสายลมยะเยือก
“พวกเราน่าจะออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ในกองพันนะ ไปไล่ถางป่าล่าไอ้คนทรยศนั่นกับฝูงของมัน” ทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พวกจอมเวท” แบคเคอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เราน่าจะได้กำจัดพวกมันไปเยอะเลยล่ะ”
เรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันทำให้ซิเธรียรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ตัวเธอเองไม่เคยเผชิญหน้ากับเวทมนตร์มาก่อน หรืออย่างน้อยเธอก็ไม่เคยรู้ตัวว่าได้พบ กระนั้นเธอก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่หวาดหวั่นและไม่ไว้วางใจต่อพวกที่สามารถใช้พลังแบบนั้นได้ และข่าวจากนครหลวงก็ยิ่งทำให้ความกลัวนั้นดูมีน้ำหนักมากขึ้นอีก
เพิ่งจะเดือนที่แล้วนี่เองที่จอมเวทนอกกฎหมายไซลาสหลบหนีออกจากที่คุมขังและฉีกผ่าหัวใจของเดมาเซียออกเป็นเสี่ยง เจ้ากบฏผู้คลุ้มคลั่งและทรงพลังอย่างน่ากลัวคนนั้นได้จุดประกายคลื่นแห่งการต่อต้านขึ้นทั่วทั้งอาณาจักร ตอนนี้กระทั่งตัวมหานครเองก็ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด มีกองทหารคอยตรวจสอบถนนทุกเส้นเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาไว้
ซิเธรียเห็นด้วยว่าพวกเธอน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าในพื้นที่อื่น ๆ แต่พิษร้ายในน้ำเสียงของสหายร่วมรบก็ยังทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ข้าบอกว่าพวกมันแทบทั้งหมดนั่นแหละ ต้องถูก—” แบคเคอร์เริ่มพูดต่อ แต่ซิเธรียตัดบทเขาลงเสียก่อน
“เงยหน้าขึ้น นายกองโล่กลับมาแล้ว”
ร่างเตี้ยล่ำสันของนายกองโล่กุนธาร์กำลังก้าวตรงมาทางพวกเขาอย่างกระฉับกระเฉง โดยมีชายในหมวกฮู้ดสองคนขนาบมาด้วยทั้งสองด้าน
“เขาพาใครมาด้วยน่ะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซิเธรียตอบ
พวกทหารล้วนพากันจัดขบวนตั้งแถวอย่างรวดเร็วทันทีที่นายกองของพวกเขากับคนลึกลับพวกนั้นเข้ามาใกล้
“เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคน” กุนธาร์เอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงจะสงสัย ว่าในนามของท่านผู้ปกป้อง พวกเราถูกส่งมาทำอะไรที่นี่กัน”
ในกองไล่สายตาไปตามแถวคนของเขา
“คณะฑูตจากอาร์เบอร์มาร์คกำลังจะเดินทางมาถึงชายแดนที่นี่ และพวกเราก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยพาพวกเขาไปส่งให้ถึงนครหลวงอย่างปลอดภัย”
ภารกิจคุ้มกัน?
กระทั่งสำหรับซิเธรีย นี่ก็ช่างฟังดูเป็นภารกิจที่ผิดวิสัยเอามาก ๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งเธอและคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาสักคำ พวกเธอล้วนยืนจ้องไปเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งและเป็นระเบียบกันถ้วนหน้า
“การให้ความคุ้มครองแก่คณะฑูตถือเป็นหน้าที่สำคัญสูงสุดของเราในครั้งนี้” กุนธาร์กล่าวต่อ “ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพวกเราจะต้องไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียวบนศีรษะของพวกท่านเหล่านั้นถูกทำร้าย เพราะนั่นจะทำให้นามของเดมาเซียต้องมัวหมอง อาร์เบอร์มากเป็นพันธมิตรของเรามายาวนาน และเราจะไม่ยอมปล่อยให้มีสิ่งใดมาทำลายความสัมพันธ์นั้นลงได้ พวกเราถูกคาดหวังว่าจะปฏิบัติหน้าที่นี่อย่างสมเกียรติ สง่างาม และเปี่ยมศรัทธา”
สีหน้าของกุนธาร์ขมวดเข้มขึ้น “ต่อให้มันจะมีอะไรที่ขัดแย้งต่อวิจารณญาณอันดีเยี่ยมของเราก็ตามที” เขาเสริมในตอนท้าย
ทหารเหล่านี้ล้วนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่แสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดสุดท้ายนั้นออกมาเลย แต่ซิเธรียก็สัมผัสและสะท้อนได้ถึงความไม่สบายใจของทุกคน คำพูดนั้นมันหมายความว่ายังไงกันนะ?
กุนธาร์โบกมือให้ผู้ติดตามในเสื้อคลุมของเขาก้าวออกมาและถอดหมวดฮู้ดออก
ดวงตาของซิเธรียพลันเบิกกว้างขึ้น
คนที่ดูสูงวัยกว่าเป็นชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางเหี้ยมเกรียม ผมตัดสั้นเปลี่ยนเป็นสีเทาไปหมดแล้ว และผิวพรรณก็โรยราไปด้วยริ้วรอยบาดลึกสีน้ำตาลกับแผลเป็นมากกว่าสองสามแผล อีกคนมีอายุน้อยกว่า รูปร่างผอมบางและดูมีท่าทางประหม่า มีทรงผมสีเข้มที่ปาดเฉียงลงมาบนใบหน้าข้างหนึ่ง
ทั้งคู่สวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้าที่ถูกสั่งทำมาเฉพาะตัว และมีจานแผ่นหินแกะสลักสีเทาหม่นกลัดอยู่เหนือไหล่เพื่อเหนี่ยวรั้งเสื้อคลุมของพวกเขาเอาไว้กับที่
ซิเธรียเผลอปล่อยลมหายใจที่เธอมทันรู้ตัวว่ากลั้นเอาไว้ออกมา
นักล่าจอมเวท
“นี่คือแค็ดสโตน นักล่าอาวุโสมากประสบการณ์จากภาคีนักล่าจอมเวท และผู้ช่วยของเขาอาร์โน” กุนธาร์กล่าว ขณะที่ได้รับการแนะนำตัว นักล่าจอมเวททั้งสองโค้งคำนับลงเล็กน้อยอย่างแทบไม่อาจสังเกตเห็น “พวกเขาจะร่วมทางไปกับเราตลอดการนำทางคณะฑูตไปยังนครหลวง”
เสียงแตรเขาสัตว์ดังกึกก้องขึ้นจากเหนือเรือนกำแพง
“มีกลุ่มคนขี่ม้ากำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาอยู่ภายใต้ธงของอาร์เบอร์มาร์ค!” เสียงร้องประกาศของยามสังเกตการณ์ดังตามมาจากเบื้องบน
นายกองโล่พยักหน้าให้กับยามสังเกตการณ์ แล้วประตูใหญ่มหึมาก็ถูกลากเปิดออก บานพับส่งเสียงครวญครางด้วยน้ำหนักมหาศาลของมัน ประตูตารางเหล็กกล้าถูกยกขึ้น สายโซ่ส่งเสียงเคร้งคร้างดังลั่น จากนั้นสะพานชักหนาหนักก็ถูกลดระดับลง จังหวะที่มันฟาดลงกับพื้นก่อให้เกิดเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว แล้วแสงอาทิตย์ของยามรุ่งอรุณก็เปล่งประกายผ่านประตูที่เปิดกว้างออกได้ในที่สุด
“มากับข้า” กุนธาร์สั่งก่อนจะสาวเท้าก้าวออกไปโดยมีนักล่าจอมเวทตามไปข้าง ๆ ซิเธรียกับทหารคนอื่น ๆ จึงตามหลังไปติด ๆ ในรูปขบวนที่ถูกฝึกฝนมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ซิเธรียไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคณะทูตควรจะมีหน้าตาเป็นยังไง แต่เธอก็ไม่คาดสักนิดว่าจะได้เจอกับชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มที่กำลังรออยู่ตรงนั้น เขาห่มคลุมร่างกายด้วยหนังของหมีและถือไม้เท้าที่สลักขึ้นมาจากท่อนไม้ใหญ่ เขาเผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อคณะคนของเดมาเซียเคลื่อนขบวนตรงเข้าไปหา
ซิเธรียจ้องมองเขาด้วยความระมัดระวังยิ่ง
เขานั่งอยู่บนหลังม้าที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ซิเธรียเคยเห็นมา ขนของมันเป็นสีดำสนิทและมีขนนกประดับอยู่ตรงเกือกม้าโลหะ ท่านทูตมีผู้ติดตามบนหลังม้ามาด้วยร่วมยี่สิบคน พวกเขาล้วนสวมเสื้อเกราะเกล็ดตัวยาวและพกพาโล่กับขวานเอาไว้ หนึ่งในนั้นมีตราสัญลักษณ์เครื่องราชอิสรยภรณ์ขวานไขว้แห่งอาร์เบอร์มาร์คสะท้อนแสงส่องประกายอยู่บนโล่ศึกด้วย
ท่านทูตก้าวลงจากหลังม้า ก่อนจะสาวเท้าออกมาเพื่อพบกับกุนธาร์และผู้ติดตาม รอยยิ้มของเขาเปิดกว้าง เขามีรูปร่างที่กำยำเยี่ยงทหารหาญ หรือไม่ก็ช่างเหล็ก; เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อะไรที่เธอจะคาดหวังจากพวกผู้ใช้เวทมนตร์ได้เลย เธอมักจินตนาการถึงคนพวกนั้นในรูปลักษณ์ที่ดูเจ้าเล่ห์หลบ ๆ ซ่อน ๆ และเลือกหนทางลับหลังที่เต็มไปด้วยกลอุบายมากกว่าจะใช้พละกำลังทางร่างกายเข้าแก้ปัญหา
เมื่อเขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าคณะจากเดมาเซีย ท่านทูตก็ใช้ฝ่ามือซ้ายสัมผัสเข้ากัยหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเหยียดยื่นมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ซิเธรียเลื่อนมือมากำรอบด้ามดาบของเธอเอาไว้ด้วยเข้าใจว่าเขากำลังร่ายเวทมนตร์อาร์เคนอะไรสักอย่าง ก่อนจะระลึกขึ้นมาได้ว่านี่มันน่าจะเป็นการแสดงความเคารพแบบอาร์เบอร์มาร์คมากกว่า สัมผัสร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาตามแก้มของซิเธรียทันที เธอได้แต่ก่นด่าตัวเองสำหรับความเขลาในครั้งนี้
นายกองโล่กุนธาร์ทำความเคารพท่านทูตในแบบฉบับของเขาเอง
“นามของข้าคืออาร์เจ็น สิ่งที่ข้านำมาคือคำทักทายจากท่านลอร์ดแห่งอาร์เบบอร์มาร์คของเรา” ท่านทูตกล่าวพลางน้อมศีรษะลง
“ยินดีต้อนรับ ข้าคือนายกองโล่กุนธาร์แห่งกองพันที่เจ็ด และทางนี้” เขาเสริม “คือแค็ดสโตนแห่งภาคีนักล่าจอมเวท”
“ท่านเคยมาเยือนภายในดินแดนของเดมาเซียมาแล้วก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?” แค็ดสโตนเอ่ยขึ้นโดยไม่แสร้งว่าเป็นการชวนคุยแม้แต่น้อย “ท่านน่าจะรู้จักกฏแห่งศิลาดีใช่ไหม?”
“ใช่ ข้าเคยมาที่นี่แล้วท่านนักล่าผู้ประเสริฐ” อาร์เจ็นตอบ “และข้าเข้าใจถึงกฎหมายและข้อจำกัดของอาณาจักรท่านดี ข้าจะเคารพกฎแห่งศิลาและจะไม่ใช้… พรสวรรค์ของข้า… ขณะอยู่ในดินแดนของท่าน ข้ารับปากในเรื่องนี้”
“ดี” แค็ดสโตนกล่าว “นักล่าจอมเวทอาร์โนกับข้าจะร่วมทางไปกับท่านด้วย จากตอนนี้ไปจนถึงช่วงเวลาที่ท่านก้าวออกจากเดมาเซียไป เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะคอยดูแลให้ท่านรักษาคำพูดเอาไว้ ท่านต้องระลึกไว้ด้วยว่ามันจะมีผลสะท้อนตามมาแน่นอนหากท่านคิดจะละเมิดกฏหมายของพวกเรา แต่หากท่านละเว้นที่จะช่วงใช้… ความสามารถ ตามที่พวกท่านเรียกเช่นนั้น… ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี”
อาร์เจ็นน้อมศีรษะลงต่ำโดยยังคงประดับรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
“งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” กุนธาร์เอ่ยขึ้น “แล้วก็คนคุ้มกันส่วนตัวของท่านจะต้องรออยู่ที่นอกเขตพรมแดนนี้”
“แน่นอน แน่นอน” อาร์เจ็นรับคำ ก่อนจะหันไปโบกมือไล่ให้คนของเขาถอยออกไป “ชิ้ว!” เขาร้องออกมา “ถอยออกไปได้แล้ว!”
ซิเธรียอดยิ้มออกมาไม่ได้กับท่าทางแปลกประหลาดของชายผู้นี้ เหล่าผู้คนบนหลังม้าที่ดูเคร่งขรึมพวกนั้นหันหลังกลับไป หนึ่งในนั้นคว้าเอาบังเหียนม้าของท่านทูตจูงตามไปด้วย พวกเขาควบม้าจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“งั้นเราก็ออกเดินทางกันเถอะ!” อาร์เจ็นกล่าวออกมาพลางปรบมือเข้าหากัน
มันเป็นการเดินทางอันทรหดร่วมสามชั่วโมงเต็มไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่เมลท์ริดจ์ หมู่บ้านริมแม่น้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ซึ่งจะมีเรือรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่น และทุกคนก็จะล่องเรือกันไปตลอดเส้นทางจนถึงนครหลวง ซิเธรียประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่าท่านทูตจากอาร์เบอร์มาร์คไม่ได้ถ่วงให้พวกเขาช้าลงเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถไล่ตามจังหวะการเดินทางสุดโหดที่กุนธาร์ตั้งระดับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ไม้เท้าอันใหญ่ของเขาเค้ายันพื้นดินอย่างหนักแน่นในทุกย่างก้าวที่เขาเดินผ่าน
การเดินทางพาพวกเขาข้ามผ่านทุ่งหญ้าและหุบเขาที่สายลมโกรก สายลมที่กรรโชกลงมาจากแดนเหนืออันเหน็บหนาวส่งสัมผัสยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกของซิเธรีย กลุ่มคนของเดมาเซียเดินย่ำเท้าต่อไปเรื่อย ๆ สองมือกระชับเสื้อคลุมแน่นเพื่อกักเก็บความอบอุ่นให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ท่านทูตภายใต้หนังหมีนั้นดูจะไม่เดือดร้อนอะไรกับสภาพอากาศเช่นนี้เลย
ในความรู้สึกของซิเธรียนั้น อาร์เจ็นเป็นชายที่สุภาพอ่อนโยนและดูน่าคบหา กระนั้นเธอก็ยังพยายามที่จะไม่ถูกภาพลักษณ์ดังกล่าวกล่อมให้ลดระดับความระมัดระวังลง วิถีแห่งพลังอาร์เคนนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายและการโป้ปดอยู่แล้ว ในขณะที่คนของฝ่ายเดมาเยหุบปากสงบนิ่งและเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบายใจนักเมื่ออยู่ใกล้กับผู้ใช้เวทมนตร์ ตัวอาร์เจ็นเองกลับเลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตุภูมิของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้าเอลจำนวนมหาศาล ความรุ่งโรจน์แห่งพละกำลัง และความกล้าหาญอันเกินจริง แต่ดูเหมือนเขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องมากทีเดียว และนี่ก็เป็นการฆ่าเวลาที่ดีกว่าอยู่กันแบบเงียบ ๆ เสียด้วย
“…แล้วจากนั้น เจ้าสัตว์ร้ายผู้ยิ่งใหญ่ก็ร้องคำรามออกมา ‘เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่าเหยื่อใช่ไหม?’ มันกล่าว”
ชายร่างใหญ่รื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะไปกับมุกตลกหยาบคายของเขาเอง พลางตบต้นขาอวบแน่นข้างหนึ่งของเขาด้วยความหรรษา ซิเธรียที่เดินอยู่ถัดไปจากท่านทูตทางด้านข้างพบว่าเธอเองกำลังยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าเธอจะส่ายศีรษะให้กับความไม่เหมาะสมของเรื่องเล่านั้นก็ตาม
“เจ้า เข้าใจใช่มั้ยแม่หนู?” อาร์เจ็นร้องออกมาพลางชี้มาทางซิเธรียโดยตรง “เขาพูดแบบนั้นเพราะเขาคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่น—“
“เอ่อ ข้าเข้าใจ” ซิเธรียว่าพลางรีบยกมือขึ้นหยุดไม่ให้อาร์เจ็นอธิบายต่อ
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อพวกเขาไปถึงได้ราวครึ่งทาง ในตอนแรกเกล็ดหิมะนั้นเล็กจ้อยและบางเบา แต่แล้วมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งวิสัยทัศน์หดหายลงอย่างน่าตกใจ เพียงไม่นาน พื้นดินและถนนทั้งหมดก็ถูกหิมะท่วมทับ เสียงของพายุหิมะกลบกลืนทุกสรรพสำเนียง ซิเธรียขยับเดินเข้าไปใกล้ท่านทูตซึ่งถูกปกป้องอย่างตรงกลางแถวของเหล่าทหาร เมื่อชำเลืองมองข้ามไหล่กลับไปเธอก็เห็นว่านักล่าจอมเวททั้งสองตามหลังมาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ห่างจากระยะที่ได้ยินเสียงออกไปแค่นิดเดียว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ดึงเอาหมวกฮู้ดขึ้นมาสวมเพื่อกันความหนาวเย็นแล้ว
“ข้าสงสัย” ซิเธรียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เพียงพอใจให้ท่านทูตได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ความสงสัยเป็นสิ่งที่ทรงพลังนัก” อาร์เจ็นกล่าว “และบางทีก็อันตรายด้วย”
ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง ราวกับต้องการจะบอกให้เธอหยุดพูดเสีย ซิเธรียจึงยั้งคำเอาไว้ และได้แต่ครุ่นคิดว่าเธอควรจะถามออกไปให้จบหรือจะปล่อยผ่านไปดีกว่า ความสงสัยดูจะมีชัยเหนือเธอในครั้งนี้
“ท่านรู้เรื่องกฎหมายแห่งศิลา และอย่างน้อยก็คงรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ… การท้าทายที่กำลังกลุ้มรุมเดมาเซียอยู่ในขณะนี้” เธอเอ่ยต่อ
“ข้ารู้” อาร์เจ็นตอบ ความไม่สำรวมของเขาเลือนหายไป สีหน้าของท่านทูตดูจะหม่นเศร้าลงทันตา “มันก็เป็นเพราะเรื่องนี้แหละ ท่านลอร์ดถึงได้ส่งข้ามาที่นี่ เป็นเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ต้องมีทูตเดินทางมาจากนานาดินแดนอันเป็นพันธมิตรของพวกท่าน”
“แต่ทั้งที่รู้เรื่องนั้นแล้ว ทำไมท่านลอร์ดของท่านถึงเลือกที่จะส่งท่านมาล่ะ?”
อาร์เจ็นก้มลงมองหญิงสาวพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ข้าเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาแห่งท้องพระโรงอาร์เบอร์มาร์ค มันก็ต้องเป็นข้าสิที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่นี้” ท่านทูตตอบ เขาสังเกตได้ว่าหญิงสาวดูประหลาดใจจึงได้แต่ส่งยิ้มเหยเกให้แก่เธอ “ที่ด้านนอกชายแดนของพวกเจ้า อะไร ๆ มันก็ต่างออกไปนะ ถ้าหากเจ้าอยากจะคุยเรื่องการตีเหล็ก เจ้าก็ต้องเรียกหาช่างตีเหล็กใช่มั้ยล่ะ? แล้วในเวลาแบบนี้ ใครล่ะที่ควรจะส่งมาถ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์?”
ซิเธรียอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ต้องปิดปากลง
แค่รีบ ๆ พาเขาไปส่งที่นครหลวงอย่างปลอดเถอะ เธอบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น
ยิ่งจบภารกิจนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“นึกยังไงถึงส่งพวกเราออกมาไกลถึงนี่กันนะ?” ทหารที่กำลังยืนกอดอกพิงผนังของเรือนกำแพงเอ่ยขึ้น “ถนนของมหานครมีเลือดนองเต็มไปหมด แต่พวกเราดันถูกส่งมาที่ชายแดนงั้นเหรอ?”
นามของเขาคือแบ็คเคอร์ และซิเธรียก็ไม่เคยใส่ใจจะปลอบขวัญอะไรเขาหรอก—หมอนี่เป็นพวกที่เอะอะนิดหน่อยก็มองเห็นแต่เรื่องร้าย ๆ ได้ในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของเขาพอจะมีส่วนที่ถูกอยู่บ้างก็เถอะ
พวกสหายร่วมรบที่เหลือยืนอยู่ไม่ไกลนัก ไม่มีใครสักคนที่ดูพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
ซิเธรียยังคงนิ่งเงียบ เธอเป็นคนท่อายุน้อยที่สุดในหมู่ทหารของเดมาเซียเหล่านี้ แม้ว่าตามจริงแล้วเธอจะยังเป็นแค่เด็กใหม่ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบก็เถอะ ตลอดปีที่ผ่านมาท่ามกลางทหารเหล่านี้ เธอได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นกำลังรบที่มีความสามารถ และเป็นผู้ที่มีเชิงดาบว่องไวที่สุด กระนั้นมันก็มีหลายครั้งเหมือนกัน—ในช่วงเวลาที่อยู่กับคนพวกนี้—ที่เธอจะรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเกินตัวและไม่ค่อยจะมั่นใจในตัวเองนัก
เธอสวมเสื้อเกราะเต็มตัวที่เรืองรองเช่นกันกับคนอื่น ๆ โล่ถูกสะพายพาดอยู่บนหลัง หมวกเกราะถูกหนีบเอาไว้ใต้วงแขน ปล่อยให้เรือนผมสีเข้มที่ถูกถักเป็นเปียยาวทิ้งตัวอย่างอิสระ
เหล่าทหารกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าประตูเทาอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งยืนหยัดปกป้องพิทักษ์ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเดมาเซียอยู่ ชื่อของมันช่างดูผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงนัก เนื่องจากตัวป้อมปราการทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากศิลาสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็พอจะเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่านามของมันนั้นได้มาจากหน้าผาหินสีเทาที่อยู่ใกล้ ๆ กระนั้น พวกทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาจากทางใต้หรือแถวชายฝั่งแห่งเดมาเซียก็มักจะบ่นกันระงมว่าชื่อดังกล่าวคงจะมาจากท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบอึมครึมอยู่ตลอดเวลาของดินแดนทางเหนือนี่มากกว่า
ทั้งสองฟากของประตูหอคอยคือแนวกำแพงที่เหยียดยาวสูงตระหง่าน ธงสามเหลี่ยมโบกสะบัดเป็นลอนคลื่นในสายลม เหล่าทหารยามเฝ้าสังเกตการณ์ด้านทิศตะวันออกท่ามกลางสายลมยะเยือก
“พวกเราน่าจะออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ในกองพันนะ ไปไล่ถางป่าล่าไอ้คนทรยศนั่นกับฝูงของมัน” ทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พวกจอมเวท” แบคเคอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เราน่าจะได้กำจัดพวกมันไปเยอะเลยล่ะ”
เรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันทำให้ซิเธรียรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ตัวเธอเองไม่เคยเผชิญหน้ากับเวทมนตร์มาก่อน หรืออย่างน้อยเธอก็ไม่เคยรู้ตัวว่าได้พบ กระนั้นเธอก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่หวาดหวั่นและไม่ไว้วางใจต่อพวกที่สามารถใช้พลังแบบนั้นได้ และข่าวจากนครหลวงก็ยิ่งทำให้ความกลัวนั้นดูมีน้ำหนักมากขึ้นอีก
เพิ่งจะเดือนที่แล้วนี่เองที่จอมเวทนอกกฎหมายไซลาสหลบหนีออกจากที่คุมขังและฉีกผ่าหัวใจของเดมาเซียออกเป็นเสี่ยง เจ้ากบฏผู้คลุ้มคลั่งและทรงพลังอย่างน่ากลัวคนนั้นได้จุดประกายคลื่นแห่งการต่อต้านขึ้นทั่วทั้งอาณาจักร ตอนนี้กระทั่งตัวมหานครเองก็ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด มีกองทหารคอยตรวจสอบถนนทุกเส้นเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาไว้
ซิเธรียเห็นด้วยว่าพวกเธอน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าในพื้นที่อื่น ๆ แต่พิษร้ายในน้ำเสียงของสหายร่วมรบก็ยังทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ข้าบอกว่าพวกมันแทบทั้งหมดนั่นแหละ ต้องถูก—” แบคเคอร์เริ่มพูดต่อ แต่ซิเธรียตัดบทเขาลงเสียก่อน
“เงยหน้าขึ้น นายกองโล่กลับมาแล้ว”
ร่างเตี้ยล่ำสันของนายกองโล่กุนธาร์กำลังก้าวตรงมาทางพวกเขาอย่างกระฉับกระเฉง โดยมีชายในหมวกฮู้ดสองคนขนาบมาด้วยทั้งสองด้าน
“เขาพาใครมาด้วยน่ะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซิเธรียตอบ
พวกทหารล้วนพากันจัดขบวนตั้งแถวอย่างรวดเร็วทันทีที่นายกองของพวกเขากับคนลึกลับพวกนั้นเข้ามาใกล้
“เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคน” กุนธาร์เอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงจะสงสัย ว่าในนามของท่านผู้ปกป้อง พวกเราถูกส่งมาทำอะไรที่นี่กัน”
ในกองไล่สายตาไปตามแถวคนของเขา
“คณะฑูตจากอาร์เบอร์มาร์คกำลังจะเดินทางมาถึงชายแดนที่นี่ และพวกเราก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยพาพวกเขาไปส่งให้ถึงนครหลวงอย่างปลอดภัย”
ภารกิจคุ้มกัน?
กระทั่งสำหรับซิเธรีย นี่ก็ช่างฟังดูเป็นภารกิจที่ผิดวิสัยเอามาก ๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งเธอและคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาสักคำ พวกเธอล้วนยืนจ้องไปเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งและเป็นระเบียบกันถ้วนหน้า
“การให้ความคุ้มครองแก่คณะฑูตถือเป็นหน้าที่สำคัญสูงสุดของเราในครั้งนี้” กุนธาร์กล่าวต่อ “ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพวกเราจะต้องไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียวบนศีรษะของพวกท่านเหล่านั้นถูกทำร้าย เพราะนั่นจะทำให้นามของเดมาเซียต้องมัวหมอง อาร์เบอร์มากเป็นพันธมิตรของเรามายาวนาน และเราจะไม่ยอมปล่อยให้มีสิ่งใดมาทำลายความสัมพันธ์นั้นลงได้ พวกเราถูกคาดหวังว่าจะปฏิบัติหน้าที่นี่อย่างสมเกียรติ สง่างาม และเปี่ยมศรัทธา”
สีหน้าของกุนธาร์ขมวดเข้มขึ้น “ต่อให้มันจะมีอะไรที่ขัดแย้งต่อวิจารณญาณอันดีเยี่ยมของเราก็ตามที” เขาเสริมในตอนท้าย
ทหารเหล่านี้ล้วนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่แสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดสุดท้ายนั้นออกมาเลย แต่ซิเธรียก็สัมผัสและสะท้อนได้ถึงความไม่สบายใจของทุกคน คำพูดนั้นมันหมายความว่ายังไงกันนะ?
กุนธาร์โบกมือให้ผู้ติดตามในเสื้อคลุมของเขาก้าวออกมาและถอดหมวดฮู้ดออก
ดวงตาของซิเธรียพลันเบิกกว้างขึ้น
คนที่ดูสูงวัยกว่าเป็นชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางเหี้ยมเกรียม ผมตัดสั้นเปลี่ยนเป็นสีเทาไปหมดแล้ว และผิวพรรณก็โรยราไปด้วยริ้วรอยบาดลึกสีน้ำตาลกับแผลเป็นมากกว่าสองสามแผล อีกคนมีอายุน้อยกว่า รูปร่างผอมบางและดูมีท่าทางประหม่า มีทรงผมสีเข้มที่ปาดเฉียงลงมาบนใบหน้าข้างหนึ่ง
ทั้งคู่สวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้าที่ถูกสั่งทำมาเฉพาะตัว และมีจานแผ่นหินแกะสลักสีเทาหม่นกลัดอยู่เหนือไหล่เพื่อเหนี่ยวรั้งเสื้อคลุมของพวกเขาเอาไว้กับที่
ซิเธรียเผลอปล่อยลมหายใจที่เธอมทันรู้ตัวว่ากลั้นเอาไว้ออกมา
นักล่าจอมเวท
“นี่คือแค็ดสโตน นักล่าอาวุโสมากประสบการณ์จากภาคีนักล่าจอมเวท และผู้ช่วยของเขาอาร์โน” กุนธาร์กล่าว ขณะที่ได้รับการแนะนำตัว นักล่าจอมเวททั้งสองโค้งคำนับลงเล็กน้อยอย่างแทบไม่อาจสังเกตเห็น “พวกเขาจะร่วมทางไปกับเราตลอดการนำทางคณะฑูตไปยังนครหลวง”
เสียงแตรเขาสัตว์ดังกึกก้องขึ้นจากเหนือเรือนกำแพง
“มีกลุ่มคนขี่ม้ากำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาอยู่ภายใต้ธงของอาร์เบอร์มาร์ค!” เสียงร้องประกาศของยามสังเกตการณ์ดังตามมาจากเบื้องบน
นายกองโล่พยักหน้าให้กับยามสังเกตการณ์ แล้วประตูใหญ่มหึมาก็ถูกลากเปิดออก บานพับส่งเสียงครวญครางด้วยน้ำหนักมหาศาลของมัน ประตูตารางเหล็กกล้าถูกยกขึ้น สายโซ่ส่งเสียงเคร้งคร้างดังลั่น จากนั้นสะพานชักหนาหนักก็ถูกลดระดับลง จังหวะที่มันฟาดลงกับพื้นก่อให้เกิดเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว แล้วแสงอาทิตย์ของยามรุ่งอรุณก็เปล่งประกายผ่านประตูที่เปิดกว้างออกได้ในที่สุด
“มากับข้า” กุนธาร์สั่งก่อนจะสาวเท้าก้าวออกไปโดยมีนักล่าจอมเวทตามไปข้าง ๆ ซิเธรียกับทหารคนอื่น ๆ จึงตามหลังไปติด ๆ ในรูปขบวนที่ถูกฝึกฝนมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ซิเธรียไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคณะทูตควรจะมีหน้าตาเป็นยังไง แต่เธอก็ไม่คาดสักนิดว่าจะได้เจอกับชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มที่กำลังรออยู่ตรงนั้น เขาห่มคลุมร่างกายด้วยหนังของหมีและถือไม้เท้าที่สลักขึ้นมาจากท่อนไม้ใหญ่ เขาเผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อคณะคนของเดมาเซียเคลื่อนขบวนตรงเข้าไปหา
ซิเธรียจ้องมองเขาด้วยความระมัดระวังยิ่ง
เขานั่งอยู่บนหลังม้าที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ซิเธรียเคยเห็นมา ขนของมันเป็นสีดำสนิทและมีขนนกประดับอยู่ตรงเกือกม้าโลหะ ท่านทูตมีผู้ติดตามบนหลังม้ามาด้วยร่วมยี่สิบคน พวกเขาล้วนสวมเสื้อเกราะเกล็ดตัวยาวและพกพาโล่กับขวานเอาไว้ หนึ่งในนั้นมีตราสัญลักษณ์เครื่องราชอิสรยภรณ์ขวานไขว้แห่งอาร์เบอร์มาร์คสะท้อนแสงส่องประกายอยู่บนโล่ศึกด้วย
ท่านทูตก้าวลงจากหลังม้า ก่อนจะสาวเท้าออกมาเพื่อพบกับกุนธาร์และผู้ติดตาม รอยยิ้มของเขาเปิดกว้าง เขามีรูปร่างที่กำยำเยี่ยงทหารหาญ หรือไม่ก็ช่างเหล็ก; เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อะไรที่เธอจะคาดหวังจากพวกผู้ใช้เวทมนตร์ได้เลย เธอมักจินตนาการถึงคนพวกนั้นในรูปลักษณ์ที่ดูเจ้าเล่ห์หลบ ๆ ซ่อน ๆ และเลือกหนทางลับหลังที่เต็มไปด้วยกลอุบายมากกว่าจะใช้พละกำลังทางร่างกายเข้าแก้ปัญหา
เมื่อเขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าคณะจากเดมาเซีย ท่านทูตก็ใช้ฝ่ามือซ้ายสัมผัสเข้ากัยหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเหยียดยื่นมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ซิเธรียเลื่อนมือมากำรอบด้ามดาบของเธอเอาไว้ด้วยเข้าใจว่าเขากำลังร่ายเวทมนตร์อาร์เคนอะไรสักอย่าง ก่อนจะระลึกขึ้นมาได้ว่านี่มันน่าจะเป็นการแสดงความเคารพแบบอาร์เบอร์มาร์คมากกว่า สัมผัสร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาตามแก้มของซิเธรียทันที เธอได้แต่ก่นด่าตัวเองสำหรับความเขลาในครั้งนี้
นายกองโล่กุนธาร์ทำความเคารพท่านทูตในแบบฉบับของเขาเอง
“นามของข้าคืออาร์เจ็น สิ่งที่ข้านำมาคือคำทักทายจากท่านลอร์ดแห่งอาร์เบบอร์มาร์คของเรา” ท่านทูตกล่าวพลางน้อมศีรษะลง
“ยินดีต้อนรับ ข้าคือนายกองโล่กุนธาร์แห่งกองพันที่เจ็ด และทางนี้” เขาเสริม “คือแค็ดสโตนแห่งภาคีนักล่าจอมเวท”
“ท่านเคยมาเยือนภายในดินแดนของเดมาเซียมาแล้วก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?” แค็ดสโตนเอ่ยขึ้นโดยไม่แสร้งว่าเป็นการชวนคุยแม้แต่น้อย “ท่านน่าจะรู้จักกฏแห่งศิลาดีใช่ไหม?”
“ใช่ ข้าเคยมาที่นี่แล้วท่านนักล่าผู้ประเสริฐ” อาร์เจ็นตอบ “และข้าเข้าใจถึงกฎหมายและข้อจำกัดของอาณาจักรท่านดี ข้าจะเคารพกฎแห่งศิลาและจะไม่ใช้… พรสวรรค์ของข้า… ขณะอยู่ในดินแดนของท่าน ข้ารับปากในเรื่องนี้”
“ดี” แค็ดสโตนกล่าว “นักล่าจอมเวทอาร์โนกับข้าจะร่วมทางไปกับท่านด้วย จากตอนนี้ไปจนถึงช่วงเวลาที่ท่านก้าวออกจากเดมาเซียไป เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะคอยดูแลให้ท่านรักษาคำพูดเอาไว้ ท่านต้องระลึกไว้ด้วยว่ามันจะมีผลสะท้อนตามมาแน่นอนหากท่านคิดจะละเมิดกฏหมายของพวกเรา แต่หากท่านละเว้นที่จะช่วงใช้… ความสามารถ ตามที่พวกท่านเรียกเช่นนั้น… ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี”
อาร์เจ็นน้อมศีรษะลงต่ำโดยยังคงประดับรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
“งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” กุนธาร์เอ่ยขึ้น “แล้วก็คนคุ้มกันส่วนตัวของท่านจะต้องรออยู่ที่นอกเขตพรมแดนนี้”
“แน่นอน แน่นอน” อาร์เจ็นรับคำ ก่อนจะหันไปโบกมือไล่ให้คนของเขาถอยออกไป “ชิ้ว!” เขาร้องออกมา “ถอยออกไปได้แล้ว!”
ซิเธรียอดยิ้มออกมาไม่ได้กับท่าทางแปลกประหลาดของชายผู้นี้ เหล่าผู้คนบนหลังม้าที่ดูเคร่งขรึมพวกนั้นหันหลังกลับไป หนึ่งในนั้นคว้าเอาบังเหียนม้าของท่านทูตจูงตามไปด้วย พวกเขาควบม้าจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“งั้นเราก็ออกเดินทางกันเถอะ!” อาร์เจ็นกล่าวออกมาพลางปรบมือเข้าหากัน
มันเป็นการเดินทางอันทรหดร่วมสามชั่วโมงเต็มไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่เมลท์ริดจ์ หมู่บ้านริมแม่น้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ซึ่งจะมีเรือรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่น และทุกคนก็จะล่องเรือกันไปตลอดเส้นทางจนถึงนครหลวง ซิเธรียประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่าท่านทูตจากอาร์เบอร์มาร์คไม่ได้ถ่วงให้พวกเขาช้าลงเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถไล่ตามจังหวะการเดินทางสุดโหดที่กุนธาร์ตั้งระดับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ไม้เท้าอันใหญ่ของเขาเค้ายันพื้นดินอย่างหนักแน่นในทุกย่างก้าวที่เขาเดินผ่าน
การเดินทางพาพวกเขาข้ามผ่านทุ่งหญ้าและหุบเขาที่สายลมโกรก สายลมที่กรรโชกลงมาจากแดนเหนืออันเหน็บหนาวส่งสัมผัสยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกของซิเธรีย กลุ่มคนของเดมาเซียเดินย่ำเท้าต่อไปเรื่อย ๆ สองมือกระชับเสื้อคลุมแน่นเพื่อกักเก็บความอบอุ่นให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ท่านทูตภายใต้หนังหมีนั้นดูจะไม่เดือดร้อนอะไรกับสภาพอากาศเช่นนี้เลย
ในความรู้สึกของซิเธรียนั้น อาร์เจ็นเป็นชายที่สุภาพอ่อนโยนและดูน่าคบหา กระนั้นเธอก็ยังพยายามที่จะไม่ถูกภาพลักษณ์ดังกล่าวกล่อมให้ลดระดับความระมัดระวังลง วิถีแห่งพลังอาร์เคนนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายและการโป้ปดอยู่แล้ว ในขณะที่คนของฝ่ายเดมาเยหุบปากสงบนิ่งและเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบายใจนักเมื่ออยู่ใกล้กับผู้ใช้เวทมนตร์ ตัวอาร์เจ็นเองกลับเลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตุภูมิของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้าเอลจำนวนมหาศาล ความรุ่งโรจน์แห่งพละกำลัง และความกล้าหาญอันเกินจริง แต่ดูเหมือนเขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องมากทีเดียว และนี่ก็เป็นการฆ่าเวลาที่ดีกว่าอยู่กันแบบเงียบ ๆ เสียด้วย
“…แล้วจากนั้น เจ้าสัตว์ร้ายผู้ยิ่งใหญ่ก็ร้องคำรามออกมา ‘เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่าเหยื่อใช่ไหม?’ มันกล่าว”
ชายร่างใหญ่รื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะไปกับมุกตลกหยาบคายของเขาเอง พลางตบต้นขาอวบแน่นข้างหนึ่งของเขาด้วยความหรรษา ซิเธรียที่เดินอยู่ถัดไปจากท่านทูตทางด้านข้างพบว่าเธอเองกำลังยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าเธอจะส่ายศีรษะให้กับความไม่เหมาะสมของเรื่องเล่านั้นก็ตาม
“เจ้า เข้าใจใช่มั้ยแม่หนู?” อาร์เจ็นร้องออกมาพลางชี้มาทางซิเธรียโดยตรง “เขาพูดแบบนั้นเพราะเขาคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่น—“
“เอ่อ ข้าเข้าใจ” ซิเธรียว่าพลางรีบยกมือขึ้นหยุดไม่ให้อาร์เจ็นอธิบายต่อ
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อพวกเขาไปถึงได้ราวครึ่งทาง ในตอนแรกเกล็ดหิมะนั้นเล็กจ้อยและบางเบา แต่แล้วมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งวิสัยทัศน์หดหายลงอย่างน่าตกใจ เพียงไม่นาน พื้นดินและถนนทั้งหมดก็ถูกหิมะท่วมทับ เสียงของพายุหิมะกลบกลืนทุกสรรพสำเนียง ซิเธรียขยับเดินเข้าไปใกล้ท่านทูตซึ่งถูกปกป้องอย่างตรงกลางแถวของเหล่าทหาร เมื่อชำเลืองมองข้ามไหล่กลับไปเธอก็เห็นว่านักล่าจอมเวททั้งสองตามหลังมาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ห่างจากระยะที่ได้ยินเสียงออกไปแค่นิดเดียว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ดึงเอาหมวกฮู้ดขึ้นมาสวมเพื่อกันความหนาวเย็นแล้ว
“ข้าสงสัย” ซิเธรียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เพียงพอใจให้ท่านทูตได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ความสงสัยเป็นสิ่งที่ทรงพลังนัก” อาร์เจ็นกล่าว “และบางทีก็อันตรายด้วย”
ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง ราวกับต้องการจะบอกให้เธอหยุดพูดเสีย ซิเธรียจึงยั้งคำเอาไว้ และได้แต่ครุ่นคิดว่าเธอควรจะถามออกไปให้จบหรือจะปล่อยผ่านไปดีกว่า ความสงสัยดูจะมีชัยเหนือเธอในครั้งนี้
“ท่านรู้เรื่องกฎหมายแห่งศิลา และอย่างน้อยก็คงรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ… การท้าทายที่กำลังกลุ้มรุมเดมาเซียอยู่ในขณะนี้” เธอเอ่ยต่อ
“ข้ารู้” อาร์เจ็นตอบ ความไม่สำรวมของเขาเลือนหายไป สีหน้าของท่านทูตดูจะหม่นเศร้าลงทันตา “มันก็เป็นเพราะเรื่องนี้แหละ ท่านลอร์ดถึงได้ส่งข้ามาที่นี่ เป็นเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ต้องมีทูตเดินทางมาจากนานาดินแดนอันเป็นพันธมิตรของพวกท่าน”
“แต่ทั้งที่รู้เรื่องนั้นแล้ว ทำไมท่านลอร์ดของท่านถึงเลือกที่จะส่งท่านมาล่ะ?”
อาร์เจ็นก้มลงมองหญิงสาวพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ข้าเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาแห่งท้องพระโรงอาร์เบอร์มาร์ค มันก็ต้องเป็นข้าสิที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่นี้” ท่านทูตตอบ เขาสังเกตได้ว่าหญิงสาวดูประหลาดใจจึงได้แต่ส่งยิ้มเหยเกให้แก่เธอ “ที่ด้านนอกชายแดนของพวกเจ้า อะไร ๆ มันก็ต่างออกไปนะ ถ้าหากเจ้าอยากจะคุยเรื่องการตีเหล็ก เจ้าก็ต้องเรียกหาช่างตีเหล็กใช่มั้ยล่ะ? แล้วในเวลาแบบนี้ ใครล่ะที่ควรจะส่งมาถ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์?”
ซิเธรียอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ต้องปิดปากลง
แค่รีบ ๆ พาเขาไปส่งที่นครหลวงอย่างปลอดเถอะ เธอบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น
ยิ่งจบภารกิจนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
สนธยาโรยตัวลงมาแล้วเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงกำแพงเมืองสีขาวแห่งเมลท์ริดจ์ ยามที่ยืนอยู่ตรงประตูทำความเคารพพวกเขา ในขณะที่พวกชาวเมืองต่างก็หลบไปยืนอยู่ที่ข้างทางด้วยความรพเมื่อคณะเดินทางก้าวผ่านถนนหลวงไป
“เราจะเลี้ยวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ทางแยกหน้า” แค็ดสโตนกล่าว หิมะเริ่มเบาบางลงแล้ว เขาจึงลงหมวกฮู้ดลงและชี้นิ้วออกไป “ท่าเรืออยู่ที่ตีนเขาลูกนั้นแหละ”
“ท่านเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ ท่านนักล่า?” ซิเธรียเอ่ยถามหลังจากที่นักล่าจอมเวทสั่งให้พวกทหารไปตามทางที่เขาบอก นักล่าจอมเวทพยักหน้าตอบ
“มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่นี่” เขากล่าว “จอมเวทที่ทรงพลัง”
“ท่าน… จับกุมเธอเหรอ?” ดวงตาของซิเธรียเปิดกว้างด้วยคำถาม
“เธอยอมมอบตัวครับ” อาร์โนเอ่ยเสียงแผ่ว “เธอไม่เป็นภัยหรอกนะ ลงทะเบียนแล้วด้วย ปกติแล้วคนแบบเธอจะไม่ถูกเอาตัวไปหรอกครับ แต่จนกระทั่ง—”
“อาร์โน!” แค็ดสโตนตวาด
นักล่าจอมเวทผู้อ่อนวัยเงียบเสียงลงด้วยท่าทีสลด
“ไปกันได้แล้ว” แค็ดสโตนกล่าวตัดบท “มันจะดีกว่าถ้าเราจะไม่มัวมาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่”
ในช่วงเวลาต้น ๆ ของยามเย็นแบบนี้ ถนนแคบ ๆ ที่ทอดยาวลงสู่ท่าเรือย่อมแน่นขนัดเป็นธรรมดา
พวกคนเรือที่เพิ่งจะเสร็จงานของตัวเองกำลังไต่เนินเขากลับขึ้นมาเพื่อเดินทางกลับบ้านหรือไม่ก็หาทางไปเยือนโรงเตี๊ยมสักแห่งที่ตั้งเรียงรายตลอดเส้นทาง พวกเด็ก ๆ วิ่งแข่งกันออกไปเบื้องหน้าผ่านหิมะที่จับหนา สุนัชที่ดูตื่นเต้นคู่หนึ่งก้าวตามกันไป เจ้าของร้านค้ายืนอยู่ตรงโถงประตูทางเข้าร้าน ส่วนพวกคนหาบเร่บนถนนก็กำลังตะโกนบอกราคาสินค้าที่ตนถืออยู่
พวกทหารยังไม่ทันผ่านถนนลาดสันเขาลงไปถึงสามส่วนด้วยซ้ำ ก่อนที่ซิเธรียจะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศของถนนรอบ ๆ ดูเปลี่ยนไป
ในตอนแรกมันก็เป็นพียงแค่เงามืดเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่เสียงพึมพำสองสามคำของผู้คนที่เดินผ่านไป กลุ่มชาวเมืองพากันไปรวมตัวอยู่ตรงถนนและตรอกรอบ ๆ กระซิบกระซาบและชี้มือไม้ไปมา ชาวประมงถ่มน้ำลายลงพื้น ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยโทสะ
“หลีกไปซะพลเรือน” กุนธาร์คำราม ชายคนนั้นยอมหลีกแม้จะดูฮึดฮัดเล็กน้อย
ซิเธรียได้แต่อึ้งไป เธอไม่คาดว่าจะได้พบกับการต่อต้านอย่างชัดเจนจากพลเมืองของเดมาเซียเช่นนี้ แม้ว่าจะมีเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นที่เมืองหลวงอยู่ก็เถอะ
“กระชับรูปขบวนหน่อย” กุนธาร์สั่ง และเหล่าทหารก็ปฏิบัติตามทันที พวกเขาปกป้องจอมเวทกับนักล่าจอมเวทเอาไว้ที่ศูนย์กลางของแถวขบวน
หินก้อนหนึ่งลอยมากระแทกทหารคนหนึ่งเข้าที่ด้านข้างของหมวกเกราะ อีกก้อนหนึ่งบอยมาจากทิศตรงข้าม เฉี่ยวเข้าที่หน้าผากของแค็ดส”ตนเรียกโลหิตออกมาทันที
ซิเธรียก่นด่าความแคบของถนนอยู่ในเสียงของลมหายใจ มันมีพื้นที่สำหรับจัดการอะไรได้น้อยเกินไป และพวกเขาก็ลงเนินเขามาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับไปแล้ว พวกเขามีแต่ต้องมุ่งหน้าต่อไปยังท่าเรือเท่านั้น
“ยกโล่ขึ้น!” กุนธาร์กระชากเสียง ชัดเจนว่านายกองโล่มีความเห็นไม่ต่างกัน “มุ่งหน้าต่อไป เร่งความเร็วเป็นสองเท่า!”
เหล่าทหารสาวเท้าเร็วขึ้นตามคำสั่ง พวกเขารุดหน้าไปตามถนนอย่างรวดเร็ว
“ในนามของมงกุฎราชา เปิดทางเดี๋ยวนี้! หลีกไป!” กุนธาร์ตะโกน พวกชาวเมืองส่วนใหญ่ทำตาม พวกเขายอมตะเกียกตะกายออกไปจากทางที่พวกทหารเคลื่อนผ่าน แต่ที่เบื้องหน้านั้น ซิเธรียเห็นบางสิ่งที่ทำให้เลือดของเธอเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง
รถเข็นคู่หนึ่งถูกผลักออกมาจากตรอกเบื้องหน้าเพื่อขวางทางพวกเขาเอาไว้ พวกชาวเมืองที่โกรธแค้นกำลังจับกลุ่มอยู่เบื้องหน้านั่น ซิเธรียชำเลืองมองซ้ายทีขวาที กำแพงสีขาวของร้านรวงเรียงรายปิดกั้นตลอดสองข้างทางราวกับหุบเหว เธอสังเกตได้ว่าประตูทั้งหมดล้วนถูกปิดและกั้นไม้อย่างแน่นหนา หน้าต่างเองก็ไม่ต่างกัน
“นี่มันกับดัก!” เธอร้องออกมา
“รู้แล้ว” กุนธาร์ตอบรับ เขาสบถอย่างเงียบงัน
“หยุด! เตรียมปะทะ!” นายกองโล่ตะโกนสั่ง เหล่าทหารปฏิบัติตามทันที เมื่อเข้าสู่พื้นที่ โล่ของพวกเขาก็ถูกยกขึ้นสูงแม้ว่าจะยังไม่มีใครชักอาวุธออกมาก็ตาม
นักล่าจอมเวทยืนประกบติดท่านทูตทั้งด้านซ้ายและขวา ทั้งสามคนถูกปกป้องเอาไว้ที่ตรงกลางสุดของแถวรูปขบวน
“นี่ไม่ดีเลย!” ซิเธรียร้องออกมา “ทางนี้ก็โดนปิดเหมือนกัน”
บัดนี้เมื่อหันกลับไปตามทางที่พวกเขาผ่านลงมา จะเห็นได้ว่าพวกชาวเมืองกำลังรีบเข็นเอารถลากอีกคันหนึ่งมาปิดทางถอยไว้ด้วย
“ส่งหมอนั่นมาให้พวกเรา แล้วจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว!” ผู้ชายรูปร่างกำยำที่ยืนอยู่เหนือรถเข็นประกาศ เขาดูท่าทางเหมือนช่างเหล็กประจำเมือง สวมผ้ากันเปื้อนหนังและถือค้อนเอาไว้ในมือ
“เคลียร์ถนนเดี๋ยวนี้!” กุนธาร์ออกคำสั่ง
ช่างเล็ก ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคนออกหน้าแทนชาวเมืองที่กำลังเกรี้ยวกราดทั้งหลายไม่ยอมขยับไปไหน
“ไม่มีทางไอ้หนู” เขากล่าวพลางเดาะค้อนเบา ๆ ด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่ เพื่อเป็นการข่มชวัญ
ในขณะที่มีบางคนวิ่งหลบไปจากสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดนี้ ชาวเมืองอีกจำนวนมากก็เข้ามาร่วมห้อมล้อมกับพวกที่ลุกฮือทั้งสองฟากถนน หลายคนถือเอาอุปกรณ์การเกษตร ขวานตัดไม้ และอาวุธเฉพาะกิจแบบง่าย ๆ ติดมือมาด้วย แต่ก็มีมากกว่าสองสามคนที่คาดฝักดาบเอาไว้ตรงสะโพก แม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเทียบกับกองทหารที่เผชิญหน้าอยู่ไม่ได้เลย แต่พวกเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว
“ข้าจะพูดอีกทีนะ เปิดทางเดี๋ยวนี้” กุนธาร์ย้ำ
สิ้นคำนั้น หินอีกก้อนก็ลอยมากระแทกโล่ของซิเธรียเข้า ทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ—แบคเคอร์—ตั้งท่าจะชักดาบออกมา ใบดาบส่งเสียงกรีดร้องเมื่อเขาเริ่มลากมันออกมาจากฝัก
“อย่าใช้ดาบ!” ซิเธรียห้ามพลางวางมืดลงบนด้ามของดาบ “พวกนี้เป็นชาวเดมาเซียที่พวกเราสาบานว่าจะปกป้องนะ!”
แบคเคอร์ซึ่งทั้งอายุมากกว่าและมีประสบการณ์สูงกว่าถลึงตาพลางทำท่าจะปัดเธอออกไปให้พ้นทาง แต่นายกองโล่ของพวกเขาหยุดเอาไว้ด้วยคำสั่งอันเฉียบขาด
“เธอพูดถูก” กุนธาร์คำราม “ห้ามชักดาบออกมานอกจากว่าข้าจะเป็นคนสั่ง”
ฝูงชนดูเหมือนจะยิ่งก้าวร้าวขึ้นทุกขณะ พวกเขาร้องตะโกนและเริ่มที่จะคุกคามพวกทหารมากขึ้นทุกที
ท่ามกลางเสียงที่อื้ออึงไม่ได้ศัพท์ ซิเธรียแยกถ้อยคำออกมาได้จำนวนหนึ่ง
“แกต้องชดใช้ ไอ้หมูสกปรก!” หญิงผู้หนึ่งร้องตะโกน
“จับตัวมัน จับมัน!” เสียงคำรามของชายชราชัดเจนทีเดียวสำหรับวัยไม้ใกล้ฝั่งแบบนั้น ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาเคยเป็นทหารเก่ามาก่อนก็เถอะ
“เราน่าจะส่งตัวเขาให้พวกมันไปนะ” แบคเคอร์พึมพำ
ซิเธรียชำเลืองมองเพื่อนทหาร “ท่านทูตอาร์เจ็นอยู่ภายใต่การพิทักษ์ของพวกเรา!” เธอตวาด “นี่เกียรติของเจ้าหายไปอยู่ที่ไหนกัน?”
“เขาก็แค่พวกผู้ใช้เวทมนตร์” ทหารอีกคนสำทับ แม้ว่าซิเธรียจะไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูดก็ตาม
เหยือกดินเผาขนาดใหญ่ถูกเขวี้ยงเข้าใส่แถวของพวกทหาร มันแตกกระจายเป็นเศษเสี้ยวมากมายอยู่บนโล่ของพวกเขา ก้อนอิฐหนักอึ้งกระแทกเข้าใส่ทหารอีกคนบริเวณเกราะไหล่ มันถูกโยนลงมาจากเบื้องบนและกระแทกเขาเสียจนล้มลงไปคุกเข่า เพื่อนทหารคนอื่นช่วยกันดึงให้เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซิเธรียเงยหน้าขึ้นพบกับผู้คนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเหนือหลังคารอบ ๆ ตัวพวกเธอ
เธอเห็นชายในหมวกฮู้ดคนหนึ่งบนนั้นโยนอะไรบางอย่างลงมา ด้วยสัญชาตญาณ ซิเธรียยกโล่ขึ้นสูงเพื่อปกป้องท่านทูตที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ เกือกม้าขึ้นสนิมกระแทกเข้ากับด้านโค้งของโล่ก่อนจะกระดอนออกไปโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอันใด ถ้ามันเข้าเป้า นั่นอาจจะอันตรายถึงตายได้เลย
จอมเวทพยักหน้าขอบคุณ รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของเขาแล้ว
“เราจะพาท่านออกไปจากที่นี่โดยไร้รอยขีดข่วย ข้าสัญญาด้วยเกียรติของข้าเลย” ซิเธรียเอ่ย
พวกชาวเมืองขยับเข้ามาใกล้จากรอบด้าน พวกเขายังคงโห่ร้องตะโกนแม้ว่าจะไม่มีใครดูกล้าพอที่จะเข้ามาใกล้เกินไปนัก กระนั้น ซิเธรียก็รู้ดีว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่จะมีใครตัดสินใจพุ่งเข้ามา และเธอก็กลัวเหลือเกินว่าอะไรจะตามมาหลังจากนั้น
“พวกเราต้องออกไปจากที่นี่!” เธอตะโกนท่ามกลางก้อนหิน ก้อนอิฐ และเศษอะไรต่อมิอะไรที่โปรยปรายเข้ามากระทบเกราะและโล่ของเหล่าทหารเสียงดัง
“ถ้าจะเราจะบุกฝ่าไป ต้องมีพลเรือนล้มตายแน่” นายกองโล่กุนธาร์ประเมิน
“นั่นอาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่เรามี” แค็ดสโตนเอ่ย แม้จะไม่เต็มใจนักแต่ซิเธรียก็เห็นด้วย นอกเสียจากว่า…
“ประตูนั่น!” เธอร้องออกมาพลางชี้ไปหน้าร้านค้าใกล้ ๆ ซึ่งถูกล็อคและขัดไม้เอาไว้
“ก็น่าลองอยู่” กุนเธอร์ตอบรับ “รูปขบวนครึ่งวงกลม ตามข้ามา!”
หน่วยทหารเดมาเซียเหลี่ยนรูปขบวนอย่างนุ่มนวล สร้างเป็นแถวโล่แนวโค้งที่เปิดด้านหลังไปสู่หน้าร้านค้า
“ซิเธรีย! แบคเคอร์!” กุนธาร์ออกคำสั่ง “ทำลายประตูพวกนั้นซะ!”
ทั้งคู่ก้าวออกมาจากแถว นักล่าจอมเวทและอาร์เจ็นยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกทหาร และแบคเคอร์ก็ผลักท่านทูตออกไปอย่างหมดความอดทน
“หลีกไปจอมเวท” เขาคำราม
ซิเธรียเห็นว่าอาร์เจ็นสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และไม่ตอบโต้อันใด เธอจึงรีบมุ่งหน้าไปยังประตูนั่นโดยอ้อมผ่านจอมเวทไป ก่อนจะพยักหน้าให้กับแบคเคอร์
“นับสามนะ” เขาบอก “หนึ่ง สอง สาม!”
พวกเขาทั้งสองช่วยกันถีบบานประตูแบบคู่อย่างรุนแรง
“อีกทีนึง!”
หลังจากพยายามต่อไปอีกสามครั้ง โถมกำลังสุดตัวไปกับแรงถีบ ก่อนที่เสียงปริแตกจะดังขึ้น แล้วบานประตูก็ล้มพับลงไปด้านใน
“ไปเลย!” กุนธาร์ตะโกน “พาท่านทูตกับนักล่าไป แล้วรีบหาทางออกไปจากที่นี่! พวกเราจะต้านตรงนี้เอาไว้เอง!”
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายแห่งความเดือดดาลของพวกเขากำลังจะหนีไป ในที่สุดฝูงชนจึงตัดสินใจดาหน้ากันพุ่งเข้าใส่แนวกำแพงโล่ทันที
“มากับข้า!” ซิเธรียออกคำสั่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในร้านค้าที่มืดมิด โดยมีโล่ยกขึ้นสูงเบื้องหน้าเธอ “มันต้องมีประตูด้านหลังแน่”
ดูเหมือนร้านค้าแห่งนี้จะเป็นของช่างทำเทียน มีเทียนขี้ผึ้งน้อยร้อยเล่มวางเรียงรายกันอยู่บนชั้นวางของ และแถวที่เรียงรายของกลิ่นดอกไม้นานาชนิดก็โอบล้อมซิเธรียทันที
“ทางนี้!” แบคเคอร์ตะโกน ก่อนจะก้าวหายไปทางด้านหลังของร้านค้า
“อย่าเพิ่งไปไกลนัก” ซิเธรียร้องบอก โดยมีท่านทูตจากอาร์เบอร์มาร์คที่ขนาบข้างมาด้วยนักล่าจอมเวทอีกคู่หนึ่งตามหลังมาติด ๆ ขณะที่เธอก้าวตามแบคเคอร์ลึกเข้าไปในตัวร้าน
ประตูที่เขาพบนำทางไปสู่ห้องเก็บของซึ่งเต็มไปด้วยถังไม้ แนวของลังไม้และถุงกระสอบมากมาย มันมืดเสียจนซิเธรียแทบมองไม่เห็นรูปร่างของแบคเคอร์ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าแค่สองสามฟุตด้วยซ้ำ
“ถ้าเพียงแต่เราจะมีเทียนสักเล่มนะ จริงมั้ย?” อาร์เจ็นตั้งข้อสังเกตด้วยอารมณ์ขัน ทำเอาซิเธรียเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เธอรีบเอามือปิดปากเพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับเรื่องตลกไร้สาระแบบนี้
จากนั้นมันก็มีเสียงของเปลือกไม้แตกออก ก่อนที่แสงจะลอดผ่านเข้ามาในห้องเก็บของเมื่อแบคเคอร์เตะประตูหลังให้เปิดออก ตรอกที่อยู่เลยออกไปทางนั้นดูเหมือนจะปลอดภัยดี
แบคเคอร์กระตุ้นให้ซิเธรียกับคนอื่น ๆ ก้าวออกไป
“ไปเลย!” เขากล่าว “ข้าจะระวังหลังให้เอง!”
ซิเธรียพยักหน้าก่อนจะกรุยทางนำอาร์เจ็นและพวกนักล่าจอมเวทออกไป เธอก้าวออกไปได้ไม่ทันถึงสิบก้าวตอนที่ใครบางคนขยับออกมาจากเงื้อมเงาของตรอกด้านข้างและปิดกั้นเส้นทางเอาไว้
เธอเป็นหญิงสาวที่มีผมสีน้ำตาลแดง ผู้ซึ่งหอบเอาหน้าไม้อันใหญ่ในอ้อมแขนมาด้วย แม้กระทั่งเมื่อซิเธรียไถลเท้าจนหยุดนิ่งแล้วยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเตือนคนที่อยู่ข้างหลัง หญิงสาวก็ยังคงเลื่อนหน้าไม้ขึ้นเล็งมายังทิศทางของพวกเธออยู่ดี
เวลาดูเหมือนจะไหลช้าลงในทันใด
หิมะโปรยปรายลงมาอีกครา เกล็ดหิมะถาโถมคลี่ม่านอันเงียบงันห่มคลุมลงมา เสียงเอะอะของฝูงชนและเสียงตะโกนของเพื่อนทหารของเธอแว่วจางหายไป ที่นี่ ตรงนี้ ในตรอกอันเงียบงันที่อยู่ด้านหลังของถนนหลวงนี่เอง
ซิเธรียสังเกตได้ว่าดวงตาของหญิงสาวเป็นสีแดงก่ำ ราวกับว่าเธอเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ และสีหน้าของเธอก็ดูเป็นสีหน้าของคนที่กำลังสิ้นหวัง
อะไรที่ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นแบบนี้ไปได้? จากประสบการณ์ของซิเธรีย ผู้คนจากบ้านเกิดของเธอล้วนมั่นคงและเคารพต่อกฏหมาย แล้วทำไมเมืองนี้ถึงได้เปี่ยมโทสะนักล่ะ?
“หลีกทางไปซะ” หญิงสาวเอ่ยกับซิเธรียด้วยแววตาวิงวอน เสียงของเธอแตกพร่าและสะดุดไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นล้น “ได้โปรด”
“ชายผู้นี้คือท่านทูตจากดินแดนพันธมิตรของเรา” ซิเธรียกฃ่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง น้ำเสียงที่เธอมักจะใช้กับพวกม้าที่กำลังตื่น “ข้าไม่อาจปล่อยให้มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับเขาได้”
“อะไรนะ?” หญิงสาวร้อง คิ้วของเธอขมวดมุ่น
“อย่าทำแบบนี้เลย” ซิเธรียกล่าวต่อไป “ชายคนนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเดมาเซียนะ”
หญิงสาวหัวเราะออกมาในที่สุด มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูสิ้นหวังจนคล้ายจะเป็นบ้าเลยทีเดียว
“ไม่ใช่เขาหรอกที่ข้าต้องการ” เธอตอบ “เป็นไอ้นักล่านั่นต่างหาก คนนั้นไง”
ตอนนั้นเองที่ซิเธรียเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าปลายหน้าไม้กำลังเล็งไปทางแค็ดสโตน
“ลูกสาวของข้าไม่เคยทำผิดอะไรเลย!” หญิงสาวร้องออกมา แล้วน้ำตาก็พรั่งพรูลงมาบนใบหน้าของเธอ “ไคร่าเลือกที่จะก้าวออกมา เพื่อเตือนพวกนักล่าจอมเวทถึงพลังของนาง นางไม่อยากให้ใครต้องเจอกับปัญหา ไม่อยากให้ความโศกเศร้าต้องมาเยือนครอบครัวของนางหรือเมืองนี้ ใคร ๆ ก็รักนางกันทั้งนั้น! เรื่องบ้า ๆ ทั้งหมดนี่—แกนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ!”
“ท่านเอาตัวลูกสาวของนางไป…” ซิเธรียสูดลมหายใจลึกพลางจ้องมองไปยังแค็ดสโตน
นักล่าจอมเวทพยักหน้าเคร่งขรึม
“เราจำเป็นต้องทำ” เขากล่าว “กฎหมายได้ถูกปรับแก้แล้ว พลเมืองคนใดที่ปรากฏว่าครอบครองพลังเวทมนตร์อยู่ จะเป็นภัยหรือไม่ก็ตามแต่ จะต้องถูกนำตัวไปรับโทษ จอมเวททุกคนในอาณาจักรเลย”
“นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงนะ!” หญิงสาวร้องตะโกนพลางยื่นหน้าไม้ออกมาทางทิศที่นักล่าจอมเวทยืนอยู่ “แกเอานางไปขังไว้! กับไอ้พวกอาชญากรนั่น! หรือบางทีนางอาจจะโดนเนรเทศไปแล้ว โดนส่งออกไปนอกเขตชายแดนนั่นตามพัง! แกเป็นคนตีตรานาง!”
ซิเธรียสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าลูกดอกหน้าไม้ใกล้จะถูกปล่อยออกมาเต็มทีแล้ว… แต่มันก็ยังไม่ถูกยิงออกมา ยังก่อน อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ไคร่าไม่เคยเป็นภัยต่อใครเลย!” หญิงสาวร่ำไห้ “นางเคยต้องนอนหลับไปทั้งน้ำตาเสมอ เฝ้าอธิษฐานให้ตัวเองเกิดมาเหมือนกับคนอื่นเขา แต่แกก็เอานางไป แกมันไอ้ปีศาจร้าย”
“กฏก็คือกฏ” แค็ดสโตนกล่าว
“งั้นกฏนั่นก็ผิดแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบ “นางเป็นชีวิตของข้า แล้วแกก็เอานางไป งั้นข้าจะเอาชีวิตของแกไปบ้างแล้วกัน”
นิ้วของเธอเหนี่ยวเกร็งอยู่ที่ไกหน้าไม้… แต่เธอก็ยังคงลังเลเมื่อซิเธรียก้าวเข้ามาขวางเอาไว้ระหว่างเธอกับนักล่าจอมเวทผู้นั้น
“ได้โปรด หลีกไปเถอะ” หญิงสาวคร่ำครวญทั้งน้ำตา “ข้าไม่อยากทำร้ายใครนอกจากไอ้คนที่มันต้องรับผิดชอบคนเดียวเท่านั้น”
“ข้าปล่อยให้เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้หรอก” ซิเธรียตอบ “วางหน้าไม้ลงเถอะ”
“ชีวิตของข้ามันจบสิ้นไปแล้ว” หญิงสาวร้อง “มันก็ต้องจบด้วยเหมือนกัน”
“ถ้าเจ้าทำแบบนี้ มันจะไม่มีทางถอยหลังกลับไปได้แล้วนะ” ซิเธรียกล่าว “จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งลูกสาวของเจ้ากลับมาที่บ้าน แต่เจ้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วเพราะทางเลือกที่เจ้ากำลังจะทำในตอนนี้?”
“คนที่พวกนักล่าเอาตัวไปจะไม่มีทางถูกพบเห็นอีก” หญิงสาวครวญคราง “ไคร่าจะไม่มีวันกลับมาที่บ้านอีกแล้ว”
ความเศร้าโศกอันลึกล้ำในน้ำเสียงของเธอช่างบีบคั้นหัวใจยิ่งนัก มันเชือดเฉือนเข้าไปถึงวิญญาณของซิเธรียเลยทีเดียว
“เจ้าไม่มีทางรู้แน่หรอก” ซิเธรียวิงวอน “ถ้านางทำได้ เจ้าก็ควรจะรอนางอยู่ที่นี่นะ นางจะต้องการเจ้า”
ใบหน้าของหญิงสาวยับย่นด้วยความเศร้าสร้อย ดวงตาปิดลงสนิทปล่อยให้น้ำตาไหลอาบใบหน้า แต่เธอก็ยังไม่ได้ลดหน้าไม้ลง
ซิเธรียก้าวเท้าออกไปพางยื่นมือไปหาเธอ
“ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ซิเธรียกล่าว “ข้าขอสัญญา ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อค้นหาว่าลูกสาวของเจ้าอยู่ที่ไหน”
ซิเธรียมั่นใจว่าเธอต้องเอื้อมไปหาหญิงสาวไม่สำเร็จแน่ ด้วยระยะเท่านี้ แรงส่งของหน้าไม้ใหญ่นั่นต้องเจาะทะลุเกราะอกเธอเข้ามาได้แน่นอน
“ได้โปรด” เธอกล่าวต่อไป “เจ้าต้องเข้มแข็งนะ เพื่อไคร่า”
แล้วหญิงสาวก็ทรุดลงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เรี่ยวแรงทั้งหมดล้วนเหือดหายไปจากเธอจนสิ้น ทว่าในจังหวะที่เธอทรุดลงยอมแพ้ต่อความโศกเศร้าและความเหนื่อยล้านั้นเอง นิ้วของเธอก็พลาดไปเหนี่ยวไกของหน้าไม้เข้า
มันมีเสียงคลิก ตามมาด้วยเสียงตวัดอากาศแหลมคมในตอนที่หน้าไม้ถูกยิงออกไป
ลูกดอกหน้าไม้ทะยานผ่านอากาศ ก่อนจะไปสะท้อนกำแพงหินสีขาวที่ด้านหนึ่งของตรอก ซิเธรียหมุนคว้างกลับไปทันได้เห็นตอนที่ลูกดอกสังหารแฉลบผ่านแค็ดสโตนกับอาร์โนไป มันพลาดนักล่าจอมเวทหนุ่มผู้ตื่นตระหนกไปเพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น และพุ่งตรงต่อไปยังแบคเคอร์เต็ม ๆ
ซิเธรียเห็นท่านทูตแห่งอาร์เบอร์มาร์คขยับนิ้วของเขาเพียงบางเบา ด้วยการตวัดข้อมืดเล็กน้อย ลูกดอกก็ถูกกระแทกร่วงลงไปจากแนวยิง ราวกับว่ามันไปชนเข้ากับกำแพงเกราะที่มองไม่เห็นตรงด้านหน้าของแบคเคอร์ แล้วก็กระดอนข้ามไหล่ของเขาไปอย่างปลอดภัย
เส้นขนที่ต้นคอของซิเธรียลุกชันกับสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้เป็นพยาน
ดวงตาของแบคเคอร์เบิกกว้างด้วยความตระหนก ลูกดอกนั่นน่าจะเสียบเข้าที่คอของเขาไปแล้วด้วยซ้ำ และซิเธรียก็เห็นชัดเจนว่าเขาเองก็รู้ตัวดี ท่านทูตร่างยักษ์ผู้ห่มหนังหมีหันมาขยิบตาให้เธอเบา ๆ ครั้งหนึ่ง
นักล่าจอมเวทหนุ่มยังคงนั่งอยู่บนพื้นหอบหายใจหนักหน่วง แค็ดสโตนยืนค้ำยันกำแพงด้านหนึ่งของถนนในตรอกอยู่ หญิงสาวคุกเข้าอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ ร่างของเธอดูราวกับกำลังแตกสลายลงไปด้วยหยาดน้ำตา
ซิเธรียตรงเข้าไปอยู่เคียงข้างเธอ ก่อนจะค่อย ๆ รับเอาหน้าไม้ออกมาจากมือที่สั่นเทาคู่นั้น จากนั้นจึงกอดหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเธอเข้ามาใกล้
“อย่าจับกุมนางเลยนะ” ซิเธรียกล่าวพลางมองไปทางแค็ดสโตน “มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
นักล่าจอมเวทดูลังเล ท่าทางหนักใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่มีอันตรายอันใดล่วงแก่ตัวท่าน” ซิเธรียกล่าวต่อไป “นางเจ็บปวดมามากพอแล้วล่ะ ได้โปรดเถอะ”
แค็ดสโตนถอนใจพลางนวดเปลือกตาตัวเอง
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ภาคีของข้าจะเข้าไปยุ่ง” เขากล่าวออกมาในที่สุด “ในเมื่อมันก็ไม่ได้มีการใช้เวทมนตร์อะไรที่นี่ งั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ซิเธรียหันไปสบตากับแบคเคอร์… แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
ฝูงชนชาวเมืองถาโถมตัวเองเข้าใส่กำแพงโล่แห่งเดมาเซีย ทั้งเตะถีบและอาละวาด ขวดกับก้อนหินปลิวว่อนปะทะโล่และหมวกเกราะ แต่จนแล้วจนรอดพวกทหารก็ไม่ได้ชักอาวุธออกมา
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นเมื่อซิเธรียกลับออกมาจากร้ายขายเทียนอีกครั้ง เธอพาเอาหญิงสาวผมแดงกลับมาด้วยในอ้อมกอด และนั่นก็ทำให้พวกชาวเมืองยอมรั้งมือถอยไป
“โรซาลีน?” ช่างเหล็กร่างกำยำเอ่ยทัก
“ไคร่าไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้หรอก” หญิงสาวประกาศออกมา “นางไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องของนางแน่”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอทำให้ฝูงชนหยุดชะงักลง มีอยู่สองสามคนที่พยายามจะสู้ต่อไป พยายามที่จะผลักดันกำแพงโล่ให้ถอยร่น แต่คนอื่น ๆ ยั้งมือออกไปแล้ว พวกเขาเริ่มไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ทำอยู่เท่าไหร่แล้ว
“เปิดทางเดี๋ยวนี้!” กุนธาร์คำราม “หลีกไปซะ แล้วพวกเราจะไม่เอาเรื่องอะไรกับเรื่องครั้งนี้!”
พวกชาวเมืองพากันหันไปมองที่ช่างเหล็ก
“ทำตามที่เขาว่าเถอะ” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด “มันจบแล้วล่ะ”
ความโกรธแค้นและความขุ่นข้องในหมู่ฝูงชนเหือดหายไปราวกับหมอกในยามเช้าที่ต้องแสงอาทิตย์ ในอีกอึดใจต่อมา พวกเขาก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นพลเมืองธรรมดา ๆ อีกครั้งเมื่อใบหน้าของพวกเขาไม่ได้บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะและความคลุ้มคลั่งอีกต่อไป บางคนในฝูงชนพึมพำอะไรบางอย่างพลางก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
เมื่อกุนธาร์พยักหน้า พวกทหารก็หลีกทางเพื่อให้ช่างเหล็กผ่านพวกเขาเข้าไปรับหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขน
“พวกเจ้าที่เหลือ กลับบ้านไปซะ!” กุนธาร์ออกคำสั่งกับพวกฝูงชนที่กำลังสับสนอยู่ ที่จริงเขาสามารถจับกุมและลงโทษผู้คนทั้งหมดนี่ได้เลย แต่ซิเธรียก็ยินดีที่เขาเลือกหนทางที่ดูผ่อนปรนแบบนี้
ซิเธรียเหลียวมองไปรอบ ๆ ราวกับปาฏิหาริย์เลยที่ทุกคนมีเพียงรอยช้ำกับรอยถลอดนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรง ไม่ว่าจะในบรรดาพวกทหารหรือพวกชาวเมืองแห่งเมลท์ริดจ์เองก็ตาม พวกชาวเมืองค่อย ๆ กระจายตัวออกไป ลากเอารถเข็ยตามพวกเขากลับไปด้วย
นายกองโล่ของซิเธรียจ้องมองมาที่เธอด้วยสีหน้าโล่งอก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรลงไป” เขากล่าวพลางส่ายศีรษะ “แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เจ้าได้ช่วยให้พวกเราหลีกเลี่ยงหายนะในวันนี้ไปได้แล้วล่ะทหาร”
ฉับพลันซิเธรียก็รู้สึกราวกับเรี่ยวแรงเหือดหายไปจนหมด ไม่มีแม้กระทั่งแรงเหลือที่จะตอบรับอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่พยักหน้างึมงำแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับขึ้นบันไดที่อยู่ใกล้ ๆ เท่านั้น
พวกทหารยังคงคอยจับตาดูฝูงชนกลุ่มสุดท้ายที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ด้วยความระมัดระวัง แบคเคอร์ยืนอยู่ไม่ห่างนักด้วยสีหน้าที่ยากจะเดาใจออก สายตาของซิเธรียเลื่อนไปยังนักล่าจอมเวททั้งสองผู้ซึ่งวางท่าเคร่งขรึมอยู่ตรงนั้น แล้วจึงเบนต่อไปยังโรซาลีน หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของช่างตีเหล็ก
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นประชาชนของเดมาเซีย และทุกคนก็ล้วนมีเจตนาที่ดีในหัวใจ กระนั้นเรื่องราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก็ได้ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องหันมาเผชิญหน้ากันเอง
ช่วงเวลาอันยากลำบากกำลังจะมาเยือนเดมาเซียแล้ว เธอคิด
ไม่สิ เธอแก้ความเข้าใจนั้นสียใหม่
ช่วงเวลานั้นได้มาถึงแล้วต่างหาก